แสงประทีปแห่งปัญญา
ด้วยความห่วงใยในทุกข์สุขของอาณาประชาราษฎร์ นับตั้งแต่ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช เสด็จขึ้นครองราชย์ พระองค์ได้เสด็จพระราชดำเนินไปเยี่ยมเยียนประชาชนตามพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทยากจน ตามภูมิภาคต่างๆ มากกว่าประทับอยู่ในพระราชวังที่กรุงเทพฯ ทั้งนี้เพื่อทรงค้นหาข้อมูลที่แท้จริงจากประชาชน ข้าราชการในพื้นที่ และทรงสังเกตการณ์ สำรวจสภาพทางภูมิศาสตร์ไปพร้อมๆ กันด้วยเพื่อทรงรวบรวมข้อมูลไว้เป็นแนวทางที่จะพระราชทานการดำเนินโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริต่อไป
การเสด็จพระราชดำเนินเยือนประชาชนในท้องถิ่นต่างๆ ทั่วประเทศ เริ่มขึ้นในช่วงหลังพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิตติ์ พระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จเยี่ยมราษฎรในภาคกลางเป็นครั้งแรก ตั้งแต่ในเขตจังหวัดชั้นในใกล้พระนครจนถึงภาคกลางชั้นนอก ในช่วงปี พ.ศ. 2496 ถึงปี พ.ศ. 2497
ปี พ.ศ. 2498 เสด็จฯ เยี่ยมภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นเวลา 19 วัน ประชาชนในท้องถิ่นต่างๆ แห่แหนชื่นชม พระบารมีรอรับเสด็จด้วยความปิติ ทุกพื้นที่ที่ทุรกันดารห่างไกล แม้ที่นั่นจะเป็นเพียงหมู่บ้านเล็กๆ ที่คนทั่วไปอาจยังไม่เคยได้ยินชื่อหรือคิดจะเดินทางไป แต่พระองค์กลับเสด็จฯ ไปหาราษฎร ในหมู่บ้าน เนื่องด้วยพระราชประสงค์และทรงประสบและทรงเก็บข้อมูลอันเป็นปัญหาทุกข์ยากของ พสกนิกรด้วยพระองค์เอง
ช่วงเดือนกันยายนของปีพ.ศ. 2498 เป็นเวลาที่พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีสภาวะแห้งแล้งที่สุด อากาศร้อนสลับหนาวจัด ถนนหนทางเป็นฝุ่นดินขุรขระทุรกันดาร ราษฎรส่วนใหญ่มีชีวิตอยู่ด้วยความยากจน แต่ความยากลำบากนั้นก็ไม่เคยทำให้พระองค์ย่อท้อ
พ.ศ. 2501 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิตติ์พระบรมราชินีนาถ เสด็จทรงเยี่ยมเยือนราษฎรภาคเหนือครบทุกจังหวัด และเสด็จภาคใต้ในปีถัดมา จนครบทุกภาคของประเทศ
การได้ทอดพระเนตรและทรงสอบถามข้อมูลโดยตรงต่อพสกนิกร ทำให้พระองค์ทรงรู้ถึงชีวิต ความเป็นอยู่และรับทราบถึงความทุกข์ยากของราษฎร ในถิ่นทุรกันดารอย่างใกล้ชิด จนเกิดเป็นจุดเริ่มต้นของโครงการตามพระราชดำริในด้านต่างๆ ทั้งชลประทาน การพัฒนาที่ดิน การวิจัยพันธุ์พืชและปสุสัตว์ ตลอดจนโครงการต่าง ๆ อีกนับพันในเวลาต่อมา
โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริกว่า 4,000 โครงการ ได้บูรณาการให้หน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน ร่วมมือกันดำเนินโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตของราษฎรทั่วทุกภาค โดยแบ่งออกเป็นประเภทโครงการได้ 8 ประเภท คือ การพัฒนาแหล่งน้ำ เกษตรกรรม สาธารณสุข สิ่งแวดล้อม ส่งเสริมอาชีพ สวัสดิการสังคม คมนาคมและการสื่อสาร
โครงการช่วยเหลือราษฎรของพระองค์ก่อนที่จะพระราชทานไปนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงศึกษาทดลองจนรู้จริง จากสภาพแวดล้อม ภูมิประเทศ จากความเห็นของราษฎร และนักวิชาการในหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อไม่ให้เกิดผลเสียหายโดยทรงติดตามผลด้วยพระองค์เอง
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมีพระราชดำริให้จัดตั้งศูนย์ศึกษาการพัฒนา อันเนื่องมาจากพระราชดำริ เพื่อเป็นตัวอย่างโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิต ที่เกิดประโยชน์ต่อชุมชนชนบท เป็นพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติที่มีชีวิต เป็นแหล่งศึกษาหาความรู้เพื่อการพัฒนาอาชีพ สร้างรายได้ให้กับประชาชนในท้องถิ่น ซึ่งในปัจจุบันมีศูนย์ศึกษาการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริ 6 แห่ง ทั่วประเทศ
- ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดเชียงใหม่
- ศูนย์ศึกษาการพัฒนาภูพานอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดสกลนคร
- ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยทรายอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดเพชรบุรี
- ศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดฉะเชิงเทรา
- ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดจันทบุรี
- ศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทองอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดนราธิวาส
เพื่อเป็นตัวอย่างแก่เกษตรกรและประชาชนครอบคลุมทุกภูมิภาค
ด้วยในปี พ.ศ. 2505 อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี เกิดวิกฤตแห้งแล้ง ฝนไม่ตก ปลูกอะไรก็ไม่ได้ผล โดยเฉพาะในพื้นที่หุบกะพง ซึ่งเป็นพื้นที่อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลโดยเฉลี่ย 40 เมตร พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นดินร่วนปนทรายและดินทราย การกระจายของฝนแปรปรวน มักมีช่วงฝนแล้งเป็นเวลานาน อากาศแห้งแล้งและลมพัดแรง ทำให้การเพาะปลูกของเกษตรในพื้นที่ไม่ได้ผล และเมื่อการทำเกษตรกรทำไม่ได้ผล ทำให้ปัญหาหนี้สินของชาวบ้านก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ
ด้วยในปี พ.ศ. 2505 อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี เกิดวิกฤตแห้งแล้ง ฝนไม่ตก ปลูกอะไรก็ไม่ได้ผล โดยเฉพาะในพื้นที่หุบกะพง ซึ่งเป็นพื้นที่อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลโดยเฉลี่ย 40 เมตร พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นดินร่วนปนทรายและดินทราย การกระจายของฝนแปรปรวน มักมีช่วงฝนแล้งเป็นเวลานาน อากาศแห้งแล้งและลมพัดแรง ทำให้การเพาะปลูกของเกษตรในพื้นที่ไม่ได้ผล และเมื่อการทำเกษตรกรทำไม่ได้ผล ทำให้ปัญหาหนี้สินของชาวบ้านก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ
พระองค์ทรงได้รับเกษตรกรเหล่านั้นไว้ในพระบรมราชูปถัมภ์ และพระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์ ให้เกษตรกรกู้ยืมไปลงทุน 3 แสนบาท แต่สุดท้ายก็ไม่มีใครนำเงินที่กู้ไปทูลเกล้าถวายคืนพระองค์เลย
ความได้ทราบถึงฝ่าละอองธุลีพระบาทว่าเกษตรกรเหล่านี้ไม่มีที่ดินเป็นของตนเอง ต้องอาศัย การเช่าที่ของกรมประชาสงเคราะห์ โดยเฉลี่ยครอบครัวละไม่เกิน 2 ไร่ ซึ่งไม่เพียงพอต่อการประกอบอาชีพ พระองค์จึงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดทำโครงการและหาพื้นที่ในเขตจังหวัดเพชรบุรีและประจวบคีรีขันธ์ เพื่อนำมาจัดสรรแก่เกษตรกรกลุ่มดังกล่าว
พื้นที่บริเวณหุบกะพง อำเภอชะอำ จึงกลายเป็นที่ตั้งของโครงการจัดพัฒนาที่ดินตามพระราชประสงค์โครงการแรกของประเทศไทย ขณะเดียวกัน รัฐบาลอิสราเอล โดย ฯพณฯ เอกอัครราชทูตอิสราเอลประจำประเทศไทย ได้ทราบหลักการของโครงการฯ จึงอาสาช่วยเหลือการพัฒนาการเกษตร ด้วยผู้เชี่ยวชาญสาขาต่าง ๆ
หลังคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ เกิดเป็นสัญญาร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยและอิสราเอล และดำเนินโครงการฯ เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2509 กำหนดระยะเวลาดำเนินการ 5 ปี สิ้นสุดเมื่อวันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2514
ภายใต้ชื่อ “โครงการไทย – อิสราเอลเพื่อพัฒนาชนบท (หุบกระพง)” ในการดำเนินโครงการ มีการอพยพครอบครัวเกษตรกรเข้าไปรวมเป็นหมู่บ้านที่จัดสร้างที่อยู่อาศัยไว้ให้ โดยมีทางราชการคอยช่วยเหลือ ให้คำแนะนำการบริหารงานหมู่บ้าน พร้อมจัดการศึกษาอบรม หลักการและวิธีการของสหกรณ์ จนบรรลุวัตถุประสงค์ สามารถจดทะเบียนเป็นสหกรณ์การเกษตรโดยใช้ชื่อว่า “สหกรณ์การเกษตรหุบกะพง จำกัด”
ปัจจุบัน บ้านหุบกระพงมีการส่งเสริมการเลี้ยงวัวและการปลูกผัก มีกลุ่มมีบ้านสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์จากป่านศรนารายณ์ซึ่งเป็นที่รู้จักกว้างขวาง มีสถานีเรียนรู้ 6 แห่ง และมีนิทรรศการประวัติ ความเป็นมาของสหกรณ์ไทย รวมถึงจำลองวิถีชีวิตของชาวหุบกะพงในอดีต อันเป็นแหล่งศึกษาให้กับผู้คนจากทั่วประเทศ
รวมทั้ง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงริเริ่มโครงการหลวง เพื่อช่วยเหลือชาวเขาในภาคเหนือ
เรื่องที่จะช่วยชาวเขาและโครงการชาวเขานั้นมีประโยชน์โดยตรงกับชาวเขา เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้ชาวเขามีความเป็นอยู่ดีขึ้น สามารถเพาะปลูกสิ่งที่เป็นประโยชน์ และเป็นรายได้กับเขาเอง จุดประสงค์อย่างหนึ่งคือมนุษยธรรม หมายถึง ให้ผู้อยู่ในถิ่นทุรกันดาร สามารถมีความรู้พยุงตัวให้มีความเจริญก้าวหน้าได้ อีกอย่างหนึ่งเป็นเรื่องช่วยในทางที่ทุกคนเห็นว่า ควรจะช่วยเพราะเป็นปัญหาใหญ่คือ ปัญหาเรื่องยาเสพติด ถ้าสามารถช่วยชาวเขาปลูกพืช ที่เป็นประโยชน์บ้าง เขาจะเลิกปลูกยาเสพติดคือ ฝิ่น ทำให้นโยบายการระงับการปราบปรามการสูบฝิ่นและค้าฝิ่นได้ผลดี อันเป็นผลอย่างหนึ่ง ซึ่งสำคัญมากก็คือ ชาวเขา ตามที่รู้เป็นผู้ทำการเพาะปลูกโดยวิธี ที่ไม่ถูกต้อง ถ้าพวกเราทุกคนไปช่วยเขาก็เท่ากับช่วยบ้านเมืองให้มีความดี อยู่ดีกินดีและปลอดภัย ได้อีกทั่วประเทศ เพราะถ้าสามารถทำโครงการนี้สำเร็จ ให้ชาวเขาอยู่เป็นหลักแหล่ง และสนับสนุนนโยบายจะรักษาป่าไม้ รักษาดินให้เป็นประโยชน์ต่อไป ประโยชน์อันนี้จะยั่งยืนมาก”
พระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช พระราชทานเรื่องช่วยชาวเขาและโครงการชาวเขา เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2517
ในภาคเหนือ บริเวณที่เรียกว่า “สามเหลี่ยมทองคำ” ซึ่งเป็นรอยต่อพรมแดนของประเทศไทย พม่า และลาว ในอดีตเป็นพื้นที่ที่มีการปลูกฝิ่นกันอย่างแพร่หลาย แต่คนส่วนใหญ่ก็ยังยากจน ขาดแคลนเสื้อผ้าและอนามัยที่ดี และมีคุณภาพชีวิตต่ำ ตรงข้ามกับความเข้าใจของคนภายนอกที่มองว่าการปลุกฝิ่นนั้น จะทำให้ชาวบ้านรายได้ดีและร่ำรวย
นอกจากนี้ก็ยังมีปัญหาอื่นๆ อีกมาก เพราะแถบภาคเหนือนี้มีภูมิประเทศสลับซับซ้อนเป็นป่าเขา สมบูรณ์ด้วยพืชพรรณป่าไม้และแหล่งน้ำ จึงมีชนเผ่าต่างๆ เข้ามาอาศัยกันอยู่ตามเขตชายแดนฝั่งไทยจำนวนมาก ทั้งเย้า กระเหรี่ยง มูเซอ ไทยใหญ่ จีนฮ่อ อีก้อ และลีซอ ซึ่งคนกลุ่มเหล่านี้ยังขาดความรู้และการจัดการที่ดีในเรื่องต่างๆ ทั้งการประกอบอาชีพและเรื่องคุณภาพชีวิต ชาวเขาส่วนใหญ่จึงมีชีวิตอยู่อย่างยากลำบาก ยึดการทำไร่เลื่อนลอยเลี้ยงชีพ รู้จักแต่การปลูกฝิ่น ตัดไม่ทำลายป่าและต้นน้ำลำธาร ความเสียหายจากการขาดความรู้และการจัดการนี้จึงกินบริเวณไปเรื่อย
จากการเสด็จแปรพระราชฐานยังพระตำหนักภูพิงค์ราชนิเวศน์ จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อเยี่ยมเยือนทุกข์สุขของราษฎรในภาคเหนือช่วงทศวรรษ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิตติ์ พระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จเข้าไปเยี่ยมชาวเขาหลายหมู่บ้านบนดอยปุย จังหวัดเชียงใหม่ และได้ทอดพระเนตรถึงสภาพความเป็นอยู่ที่ลำบากแร้นแค้นดังกล่าวจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระราชดำริและพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ตั้งโครงการหลวงขึ้นในปี ด้วยพระประสงค์เพื่อพัฒนาชีวิตและความเป็นอยู่ของชาวเขา ลดการปลูกฝิ่นและฟื้นฟูป่าต้นน้ำลำธาร
เริ่มต้นด้วยการสนับสนุนงานวิจัยผลไม้เมืองหนาวบนดอยปุย ซึ่งดำเนินงานโดยมหาวิทยาลัย เกษตรศาสตร์ ด้วยพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ จำนวนแสนบาท พร้อมกับพระราชทานอาหาร เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค พืชพันธุ์ และหมูพันธ์ผสมให้ชาวเขาเหล่านั้น ด้วยความร่วมมือจากอาสาสมัครจากหลายหน่วยงาน ที่เข้าไปเยี่ยมเยียนเกษตรกรชาวเขาตามหมู่บ้านต่างๆ ในทุกๆสัปดาห์ เพื่อทำการเกษตรสาธิตและให้คำแนะนำด้านต่าง ๆ จนเกิดเป็นการฝึกอบรมเกี่ยวกับการปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์อย่างจริงจัง
หม่อมเจ้าภีสเดช รัชนี ประธานมูลนิธิโครงการหลวง ทรงอธิบายถึงวิธีการทำงานของโครงการหลวงไว้ในหนังสือ “ประพาสต้นบนดอย” ว่าโครงการหลวงครบวงจรจะประกอบด้วย
- การวางแผนการใช้ประโยชน์ที่ดิน
- การปลูกป่าในส่วนที่ควรเป็นป่า
- ทำการเกษตรภายใต้ระบบอนุรักษ์ดินและน้ำ
- การวิจัยการเกษตร สังคม และสิ่งแวดล้อม
- การขนส่ง การจัดหลังการเก็บเกี่ยวการตลาด
ซึ่งทั้งหมดจะนำมาสู่ รายได้พอเพียง ชุมชนเข้มแข็ง ป่าต้นน้ำลำธารได้รับการฟื้นฟู
การปฏิบัติงานในช่วงแรกต้องประสบกับความยากลำบากหลายประการ ทั้งเรื่องของถนนหนทาง การติดต่อสื่อสาร โทรคมนาคม และสาธารณูปโภคต่างๆ หลายครั้งที่คณะทำงานต้องเดินเท้าขึ้นลงระหว่างดอยต่างๆ เป็นระยะทางไกล ทำให้โครงการดำเนินไปอย่างล่าช้า
ในปี พ.ศ. 2512 คณะทำงานได้ตัดสินใจเลือกบริเวณดอยอ่างขางเป็นสถานีวิจัยแห่งแรกของโครงการฯ และได้รับพระราชทานชื่อในเวลาต่อมาว่า “สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง” จากนั้นจึงได้ขยายพื้นที่ปฏิบัติงานเพิ่มขึ้น
เมื่อวันที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2518 และ21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2519 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช โปรดเกล้าให้คณะทูตานุทูตจากประเทศต่างๆ ที่ประจำอยู่ในประเทศไทย ตามเสด็จฯ ไปยังสถานีเกษตรหลวงอ่างขาง เพื่อแสดงสภาพความเป็นจริงของปัญหา ทรงมีพระราชดำรัสของให้พิจารณาช่วยเหลือตามสมควร หลายประเทศจึงให้ความสนใจ จัดส่งพันธ์สัตว์และพันธ์ไม้นานานชนิดมาถวาย เพื่อใช้ประโยชน์ในโครงการฯ สาธารณรัฐประชาชนจีน เป็นประเทศหนึ่งที่ให้ความช่วยเหลืออย่างสม่ำเสมอ และได้ส่งเจ้าหน้าที่มาร่วมดูงานและให้คำแนะนำในการเพาะปลูกพืชต่าง ๆ
ปี 2521 โครงการหลวงเริ่มดำเนินการพัฒนาเป็นพื้นที่โดยตั้งศูนย์ปฏิบัติการในพื้นที่ต่างๆ โดยอาศัยทุนจากพระราชทานทรัพย์พระราชทาน และงบประมาณสนับสนุนจากมิตรประเทศ เช่น กระทรวงเกษตรสหรัฐอเมริกา และไต้หวัน
ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2535 โปรดเกล้าฯ พระราชทานให้โครงการหลวง จดทะเบียนเป็น “มูลนิธิโครงการหลวง” อันมีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ภูมิพลอดุลยเดช ทรงเป็นนายกกิตติมศักดิ์
ปัจจุบัน งานของมูลนิธิโครงการหลวง ได้ให้การส่งเสริมและพัฒนาพื้นที่ชุมชนชาวเขา โดยมีสถานีวิจัยหลัก 6 สถานี และสถานีส่งเสริมปลูกพืชทดแทนฝิ่น เรียกว่า “ศูนย์พัฒนาโครงการหลวง” จำนวน 38 แห่ง แต่ละศูนย์ครอบคลุมพื้นที่ 5-20 หมู่บ้าน ครอบคลุมพื้นที่ใน 5 จังหวัดภาคเหนือตอนบน ได้แก่ เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน แม่ฮ่องสอน และพะเยา มีประชากรชาวเขาเผ่าต่างๆ 13 เผ่า และชาวไทยที่อาศัยบนพื้นที่ภูเขา ได้รับประโยชน์รวมกว่า 37,561 ครัวเรือน
ในระยะเวลา 40 กว่าปีที่ผ่านมา ชีวิตความเป็นอยู่ของชุมชนชาวเขาในพื้นที่สูงทางภาคเหนือจึงดีขึ้นมาก มีที่ดินทำกินและมีอาชีพที่มั่นคง ทั้งยังสามารถรักษาทรัพยากรธรรมชาติ คือ ป่าไม้และต้นน้ำลำธารอันเป็นสมบัติล้ำค่าของประเทศไว้ได้
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ได้คิดโครงการต่างๆ ขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยแก้ปัญหาต่างๆ ของประชาชน โดยเฉพาะปัญหาที่เกิดกับเกษตรกร และด้วยพระอัจฉริยภาพในการแก้ปัญหา พระองค์ทรงริเริ่มแนวทาง “เกษตรทฤษฎีใหม่” โดยเน้นที่การพัฒนาเกษตรกรรมอย่างยั่งยืน เพื่อให้ทุกคนสามารถพลิกฟื้นผืนดินได้อย่างพออยู่พอกิน โดยมีกิจกรรมเกษตร ได้แก่ กสิกรรม ประมง ปศุสัตว์ และ การปลูกไม้ยืนต้นอย่างครบวงจรภายในพื้นที่เดียว โดยมีการแบ่งสัดส่วน คือ
- แหล่งน้ำ ร้อยละ 30 ของพื้นที่ทั้งหมด ให้ขุดสระเก็บกักน้ำฝนในฤดูฝนสำหรับปลูกพืชในฤดูแล้ง รวมถึงการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำและพืชชายน้ำ เช่น ผักบุ้ง ผักกระเฉด ได้ด้วย
- พืชกินได้หรือไม้ผล ร้อยละ 30 ของพื้นที่ทั้งหมด ปลูกไม้ผล ไม้ยืนต้น พืชผัก พืชไร่ พืชสมุนไพร ฯลฯ เพื่อใช้เป็นอาหารประจำวัน
- ทำนาปลูกข้าว ร้อยละ 30 ของพื้นที่ทั้งหมด เน้นปลูกข้าวสายพันธุ์ข้าวพื้นบ้านที่เหมาะสมกับระบบนิเวศ ช่วยลดความเสียหายต่อต้นข้าว ช่วยลดการใช้สารเคมี
- ที่พักอาศัยและโรงเรือน ร้อยละ 10 ของพื้นที่ทั้งหมด ใช้เป็นที่อยู่อาศัยและโรงเรือน เช่น บ้าน ลานตาก กองปุ๋ยหมัก โรงเรือน โรงเพาะเห็ด คอกสัตว์ ไม้ดอกไม้ประดับ พืชผักสวนครัวบริเวณหลังบ้าน เป็นต้น
คะเนสัดส่วนการใช้พื้นที่ให้ได้ประมาณ 30/ 30/ 30/ 10 เน้นการปลูกให้เพียงพอต่อการบริโภค เมื่อเหลือจากบริโภคจึงนำไปจำหน่าย เพียงเท่านี้ก็จะมีข้าว มีปลา มีไข่ไก่ มีผลไม้กินหมุนเวียน ช่วยลดการจับจ่ายในครัวเรือนได้มาก ดังพระราชดำรัส พระราชทานแก่บุคคลต่างๆ ที่เข้าเฝ้าฯ ถวายชัยมงคล เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ณ ศาลาดุสิดาลัย สวนจิตรลดาฯ พระราชวังดุสิต วันที่ 4 ธันวาคม 2541 ความว่า
“ ให้พอเพียงนี้ก็หมายความว่า มีกินมีอยู่ ไม่ฟุ่มเฟือย ไม่หรูหราก็ได้ แต่ว่าพอ แม้บางอย่างอาจจะดูฟุ่มเฟือย แต่ถ้าทำให้มีความสุข ถ้าทำได้ก็สมควรที่จะทำ สมควรที่จะปฏิบัติ อันนี้ก็ความหมายอีกอย่างของเศรษฐกิจ หรือระบบพอเพียง. เมื่อปีที่แล้วตอนที่พูดพอเพียง แปลในใจ แล้วก็ได้พูดออกมาด้วย ว่าจะแปลเป็น Self-sufficiency (พึ่งตนเอง) ถึงได้บอกว่าพอเพียง แก่ตนเอง แต่ความจริงเศรษฐกิจพอเพียงนี้ กว้างขวางกว่า Self-sufficiency คือ Self-sufficiency นั้นหมายความว่า ผลิตอะไรมีพอที่จะใช้ ไม่ต้องไปขอซื้อคนอื่น อยู่ได้ด้วยตนเอง (พึ่งตนเอง)แต่พอเพียงนี้มีความหมายกว้างขวางยิ่งกว่านี้อีก คือคำว่าพอก็เพียงพอ เพียงนี้ก็พอดังนั้นเอง.คนเราถ้าพอในความต้องการ ก็มีความโลภน้อย เมื่อมีความโลภน้อย ก็เบียดเบียนคนอื่นน้อย ”
ปัจจุบัน มีการนำเอาเกษตรทฤษฎีใหม่ไปขยายผล ณ ศูนย์ศึกษาการพัฒนาและโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ รวมถึงกรมวิชาการเกษตรได้ดำเนินการจัดทำแปลงสาธิต จำนวน 25 แห่งทั่วประเทศ โดยมีหน่วยงานต่างๆ ช่วยดำเนินงานให้มีการนำทฤษฎีใหม่ไปใช้อย่างกว้างขวางขึ้น
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจ เพื่อประโยชน์สุขแก่ชาวไทย ทุกเชื้อชาติ ศาสนา ทั่วทุกภาคของประเทศ เพื่อแก้ไขปัญหา ความยากจนของราษฎรอย่างแท้จริงพระองค์ได้พระราชทานแนวพระราชดำริ เศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งเป็นแก่นแท้ของการพัฒนาอย่างยั่งยืน
- คัดลอกมาจาก บทความเรื่อง “โครงการพัฒนาที่ดินตามพระราชดำริ หุบกระพง”,“ทรงริเริ่มโครงการหลวง เพื่อช่วยเหลือชาวเขาในภาคเหนือ” ทวีศักดิ์ หวังรังสีสถิตย์และคณะ. (2559). สดุดีมหาราชา เทิดไท้องค์ราชัน. กรุงเทพฯ: เพชรกะรัต
- คัดลอกมาจาก บทความเรื่อง “ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริ” เข้าถึงได้จาก https://web.ku.ac.th/king72/center/center.htm
- คัดลอกมาจาก บทความเรื่อง “เศรษฐกิจพอเพียง” เข้าถึงได้จาก http://www.chaipat.or.th/site_content/34-13/19-2009-10-30-07-44-57.html