ผู้สร้างสายธารแห่งพระราชไมตรีกับนานาประเทศ
ตลอดช่วงเวลาการครองราชย์ 70 ปี ที่ผ่านมา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เปรียบเสมือนดั่งพ่อผู้เป็นศูนย์รวมจิตใจของคนไทยทั้งชาติ พระองค์ทรงทุ่มเทพระราชฤทัยและพระวรกายเพี่อที่จะนำพาประเทศไทยไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน ทัดเทียมนานาอารยประเทศ โดยมิทรงละทิ้งเอกลักษณ์และภูมิปัญญาอันล้ำค่าที่มีอยู่คู่แผ่นดินไทย ด้วยน้ำพระทัยที่พร่างพรมไปทั่วทุกหลังคาเรือน และพระปรีชาสามารถ ซึ่งเป็นที่ประจักษ์ตลอดระยะเวลาแห่งการปกครองแผ่นดินโดยธรรมเช่นนี้
พระองค์มีพระราชกรณียกิจสุดแสนเหนื่อยยาก นอกจากทรงดูแลพสกนิกรในประเทศแล้ว ยังเสด็จพระราชดำเนินเยือนต่างประเทศเพื่อคงไว้ถึงความสัมพันธ์ทางการทูต หาใช่เพื่อความสำราญแต่อย่างใด ไม่ว่าพระองค์จะเสด็จฯ ไปเยือนที่ใดในโลกนี้ จะทรงได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่น สมพระเกียรติ
นับแต่ พ.ศ. 2502 ถึง พ.ศ. 2510 และพ.ศ. 2537 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศต่างๆ ทั้งในประเทศในเอเชีย ยุโรป และสหรัฐอเมริกา เพื่อเจริญพระราชไมตรีกับบรรดามิตรประเทศต่างๆ ให้มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น รวมถึงนำความปรารถนาดีของประชาชนชาวไทยไปสู่นานาประเทศ
สำหรับประเทศแรกที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนิน คือ เวียดนามใต้ (ซึ่งในสมัยนั้นเวียดนาม ยังแบ่งออกเป็น 2 ประเทศ คือ เวียดนามเหนือและเวียดนามใต้ ก่อนที่จะรวมเป็นประเทศเดียวกันในปีพ.ศ. 2519) ระหว่างวันที่ 18-21 ธันวาคม พ.ศ. 2502
ในการเสด็จฯ เยือนครั้งนั้น มีประชาชนและนักเรียนชาวเวียดนามโบกธงชาติทั้งสองประเทศเฝ้าฯ รับเสด็จด้วยความยินดี
ทั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานหีบเครื่องเขียนถมทองแก่ประธานาธิบดี และสมเด็จ พระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้พระราชทานผ้าไหมแก่ มาดาม โง ดินห์ นยู เป็นที่ระลึกและมหาวิทยาลัยไซ่ง่อน ได้ทูลเกล้าฯ ถวายปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ ด้านกฎหมายแด่พระองค์ท่านด้วย
ตามด้วยปีต่อมาสาธารณรัฐอินโดนีเซีย ระหว่างวันที่ 8-16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2503 ซึ่งในการเสด็จฯ เยือนได้ทรงพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นสูงให้แก่ประธานาธิบดีซูการ์โน ประธานาธิบดีคนแรกของ อินโดนีเซียและรัฐมนตรีคนสำคัญ ๆ ของอินโดนีเซีย และทางมหาวิทยาลัยกัดจาห์มาดา เมืองจ๊อกจาการ์ตา ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัย ที่โด่งดังมีชื่อเสียงมาก ได้ทูลเกล้าฯ ถวายปริญญาดุษฎีกิตติมศักดิ์แด่พระองค์ท่าน
และเสด็จฯ เยือนสหภาพพม่า (ชื่อเดิมในขณะนั้น) ระหว่างวันที่ 2-5 มีนาคม พ.ศ. 2503 ในการเสด็จฯ เยือนพม่า ในหลวงได้เสด็จพระราชดำเนินไปนมัสการเจดีย์ชเวดากอง และทรงถวายเงินบำรุงเป็นพุทธบูชาเป็นจำนวนเท่าอายุของพระพุทธศาสนาในตอนนั้นคือ 2,503 จ๊าด
ซึ่งทั้งสามประเทศที่ไปเยือนล้วนเป็นเพื่อนบ้านกับไทยทั้งสิ้น
จากนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เสด็จพระราชดำเนิน ตามพระราชภารกิจ อันยิ่งใหญ่ ที่ใช้ระยะเวลานานถึง 6 เดือน พระองค์จึงมีกระแสพระราชดำรัสอำลาประชาชนชาวไทยด้วยความห่วงใย เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2503 ความว่า
“ประชาชนชาวไทยทั้งหลาย เมื่อปีใหม่ข้าพเจ้าได้แจ้งให้ทราบ แล้วว่า ประเทศต่างๆ ได้เชิญให้ไปเยี่ยมเป็นราชการ บัดนี้ถึงกำหนดที่ข้าพเจ้าและพระราชินีจะไปประเทศเหล่านั้น พรุ่งนี้จะออกเดินทางจากกรุงเทพฯ ไปยังสหรัฐอเมริกาก่อน แล้วจะไปประเทศอื่นๆ ในยุโรปอีก 13 ประเทศด้วยกันการไปต่างประเทศคราวนี้ ก็ไปเป็นราชการแผ่นดิน เป็นการทำตามหน้าที่ของข้าพเจ้า ในฐานะเป็นประมุขของประเทศ เป็นที่ทราบกันอยู่แล้วว่า ในสมัยนี้ประเทศต่างๆ ไม่ว่าใหญ่หรือเล็กต่างต้องพึ่งพาอาศัยกันอยู่เสมอ จะว่าชนทุกชาติเป็นญาติพี่น้องกันก็ว่าได้ จึงควรพยายามให้รู้จักนิสัยใจคอกัน ทั้งต้องผูกน้ำใจกันไว้ให้ดีด้วย การผูกน้ำใจกันไว้นั้น ธรรมดาญาติพี่น้องก็ไปเยี่ยมถามทุกข์สุขซึ่งกันและกัน แต่สำหรับประเทศนั้นประชาชนนับแสนล้าน จะไปเยี่ยมกันก็ยาก เขาจึงยกให้เป็นหน้าที่ของประมุข ในการไปเยี่ยมประเทศต่างๆ ข้าพเจ้าก็จะแสดงต่อประชาชนของประเทศเหล่านั้นว่า ประชาชนชาวไทยมีมิตรจิตมิตรใจต่อเขา และข้าพเจ้าจะพยายามเต็มที่เพื่อให้ฝ่ายเขารู้จักเมืองไทย และให้เกิดมีน้ำใจดีต่อชาวไทย ข้าพเจ้าจะลาท่านไปเป็นเวลาราว 6 เดือน ก็เป็นธรรมดาที่นึกห่วงใยบ้านเมือง จึงใคร่จะตักเตือนท่านทั้งหลายว่า ขอให้ตั้งหน้าทำการงานของท่านให้เต็มที่ในทางที่ชอบที่ควร ตั้งตัวตั้งใจให้อยู่ในความสงบจะได้เกิดผลดีแก่ตัวท่านเอง และแก่บ้านเมืองซึ่งเป็นของเราด้วยกันทุกคน ขออวยพรให้มีความสุขสวัสดีทั่วกัน”
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เสด็จฯ เยือนสหรัฐอเมริกา ระหว่างวันที่ 14 มิถุนายน – 15 กรกฏาคม พ.ศ. 2503 ในสมัยประธานาธิบดี ดไวต์ ดี ไอเซนฮาวร์ โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์มหาจักรีบรมวงศ์ อันเป็นเครื่องพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์สูงสุดแด่ประธานาธิบดี ไอเซนฮาวร์ และเสด็จฯ ไปทรงเยี่ยมสถานที่ที่พระองค์ทรงพระราชสมภพ ณ โรงพยาบาลเมาท์ ออเบิร์น เมืองบอสตัน รัฐแมสซาชูเชตต์ ทั้งยังพระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ศิลปินชื่อดังอย่างเอลวิส เพรสลีย์ เข้าเฝ้าฯ และได้พระราชทานสัมภาษณ์แก่สื่อมวลชน นครลอสแอนเจลลิส เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน พ.ศ.2503 ความว่า
“การเสด็จมาเยือนสหรัฐอเมริกา คราวนี้เป็นการเสด็จเยี่ยมทางราชการประเทศไทยกับสหรัฐอเมริกา มีสัมพันธไมตรีต่อกันมายาวนานกว่าร้อยปีแล้ว ประชาชนชาวไทยที่มีอยู่ 24 ล้านคน ไม่อาจจะมาแสดงสันทวไมตรีต่อสหรัฐอเมริกาถึงที่นี่ได้ทุกคน ข้าพเจ้าจึงได้มาในฐานะผู้แทนของเขา เพื่อจะได้พบปะวิสาสะกับประชาชนชาวอเมริกัน”
ขณะที่ผู้สื่อข่าวในมหานครนิวยอร์ก กล่าวถึงพิธีการถวายการต้อนรับไว้ว่า “ขบวนแห่ที่มีการโปรยลูกปาและสายรุ้ง ซึ่งจัดถวายพระมหากษัตริย์ไทย เป็นการแสดงการต้อนรับที่อบอุ่นและถวายเกียรติยศสูงสุดครั้งหนึ่ง ที่ชาวนิวยอร์กได้เคยจัดต้อนรับอาคันตุกะผู้มีเกียรติ”
ก่อนทรงเดินสายเยือนทวีปยุโรป เริ่มจากประเทศอังกฤษ ระหว่างวันที่ 19-23 กรกฏาคม พ.ศ.2503 โดยสมเด็จพระราชินีนาถอลิซาเบธที่ 2 ได้ถวายเครื่องราชอิสริยาภรณ์รอยัลวิกตอเรียแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีกระแสพระราชดำรัสสดุดีรัฐสภาอังกฤษว่า “เป็นป้อมปราการอันสำคัญแห่งเสรีภาพและประชาธิปไตย”
ในวาระเสร็จสิ้นการเสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศอังกฤษ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวยังมีพระราชหัตถเลขาต่อสมเด็จพระราชินีนาถ อลิซาเบธที่ 2 ความตอนหนึ่งว่า
“พระราชินีและหม่อมฉันไม่สามารถที่จะจากประเทศอังกฤษไป โดยมิได้แสดงความรู้สึกซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณและความชื่นชมยินดีต่อพระบาท ความเป็นมิตรที่ฝ่าพระบาทและดยุกแห่งเอดินบะระ ตลอดจนพระบรมวงศานุวงศ์และพสกนิกรชาวอังกฤษ ได้ทรงแสดงต่อหม่อมฉันและพระราชินีนั้น เป็นที่ประทับใจยิ่งและคงอยู่ในความทรงจำเสมอมิลืมเลือน”
“การแสดงออกซึ่งความรู้สึกฉันมิตรเช่นนี้มาจากประชาชนอังกฤษเองโดยพร้อมเพรียงกัน เป็นการตอบสนองความปรารถนาดีของประชาชนชาวไทย หม่อมฉันตระหนักในพระมหากรุณาธิคุณอย่างสุดซึ้ง และไม่ลืมที่จะแจ้งให้ประชาชนของหม่อมฉันได้ทราบ หม่อมฉันมั่นใจว่าการเดินทางมายังประเทศอังกฤษนั้นจะช่วยให้ประเทศของเราทั้งสองและพระราชวงศ์ทั้งสองมีความใกล้ชิดสนิทสนมกันมากขึ้น เพื่อผลประโยชน์ร่วมกัน”
เสด็จฯ เยือนสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ระหว่างวันที่ 25 ก.ค.-2 ส.ค.2503
ในการเสด็จเยือนประเทศเยอรมนี อันเป็นการถวายการต้อนรับซึ่งเปี่ยมด้วยไมตรีจิตต่อทั้งสองพระองค์อย่างมาก เมื่อชาวเยอรมันต่างพากันมาเฝ้าอย่างล้นหลาม ร้องถวายพระพรกันอย่างกึกก้อง แม้เมื่อเสด็จฯ เข้าที่ประทับก็ยังไม่ยอมกลับ จนทั้งสองพระองค์ต้องเสด็จฯ ออกให้ผู้ที่เฝ้ารอได้ชื่นชม พระบารมีกันอีก ถึง 3 ครั้ง ดังที่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงตรัสไว้ว่า
“ข้าพเจ้านึกไม่ถึงจริงๆ ที่ชาวเยอรมันจะสนใจต่อเราขนาด ไม่นึกถึงความสบายส่วนตัว ยอมอดหลับอดนอนทรมานร่างกายรอเราอยู่เป็นชั่วโมงๆ เพื่อที่จะได้เห็นเราเพียงครู่เดียว เป็นเหตุการณ์ที่น่าประทับใจที่สุด ซึ่งพระเจ้าอยู่หัวและข้าพเจ้าจะลืมเสียมิได้ นึกถึงครั้งใดจะต้องปลาบปลื้มและอบอุ่นในใจเสมอมา”
- ตามด้วย สาธารณรัฐโปรตุเกส ระหว่างวันที่ 22 – 25 สิงหาคม พ.ศ. 2503
- ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ระหว่างวันที่ 29 – 31 สิงหาคม พ.ศ. 2503
- ประเทศเดนมาร์ก ระหว่างวันที่ 6 – 9 กันยายน พ.ศ. 2503
- ประเทศนอร์เวย์ ระหว่างวันที่ 19 – 21 กันยายน พ.ศ. 2503
- ประเทศสวีเดน ระหว่างวันที่ 23 – 25 กันยายน พ.ศ. 2503
- สาธารณรัฐอิตาลี ระหว่างวันที่ 28 กันยายน – 1 ตุลาคม พ.ศ. 2503
- นครรัฐวาติกัน เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2503
- ประเทศเบลเยียม ระหว่างวันที่ 4 – 7 ตุลาคม พ.ศ. 2503
- สาธารณรัฐฝรั่งเศส ระหว่างวันที่ 11 – 14 ตุลาคม พ.ศ. 2503
- ประเทศลักเซมเบิร์ก ระหว่างวันที่ 17 ตุลาคม – 19 ตุลาคม พ.ศ. 2503
- ประเทศเนเธอร์แลนด์ ระหว่างวันที่ 24 – 27 ตุลาคม พ.ศ. 2503
- ประเทศสเปน ระหว่างวันที่ 3 – 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2503
- ต่อมาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินเยือน สาธารณรัฐอิสลามปากีสถาน ระหว่างวันที่ 11 – 22 มีนาคม พ.ศ. 2505
- สหพันธรัฐมลายา ระหว่างวันที่ 20 – 27 มิถุนายน พ.ศ. 2505
- ประเทศนิวซีแลนด์ ระหว่างวันที่ 18 – 26 สิงหาคม พ.ศ. 2505
- ประเทศออสเตรเลีย ระหว่างวันที่ 26 สิงหาคม – 12 กันยายน พ.ศ. 2505
- ประเทศญี่ปุ่น ระหว่างวันที่ 27 พฤษภาคม – 5 มิถุนายน พ.ศ. 2506
- สาธารณรัฐจีน ระหว่างวันที่ 5 – 8 มิถุนายน พ.ศ. 2506
- สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ ระหว่างวันที่ 9 – 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2506
- สาธารณรัฐออสเตรีย ระหว่างวันที่ 29กันยายน – 5 ธันวาคม พ.ศ. 2506
- สาธารณรัฐเยอรมัน ระหว่างวันที่ 22 – 28 สิงหาคม พ.ศ. 2509
(เป็นการเสด็จพระราชดำเนินเยือนครั้งที่สอง) - สาธารณรัฐออสเตรีย ระหว่างวันที่ 29 กันยายน – 2 ตุลาคม พ.ศ. 2509
(เป็นการเสด็จพระราชดำเนินเยือนครั้งที่สอง) - ประเทศอิหร่าน ระหว่างวันที่ 23 – 30 เมษายน พ.ศ. 2510
- สหรัฐอเมริกา ระหว่างวันที่ 6 มิถุนายน – 20 มิถุนายน พ.ศ. 2510
(เป็นการเสด็จพระราชดำเนินเยือนครั้งที่สอง) - ประเทศแคนาดา ระหว่างวันที่ 21 – 24 มิถุนายน พ.ศ. 2510
จากนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็มิได้เสด็จพระราชดำเนินเยือนต่างประเทศอีก เพราะทรงเห็นว่า “พระราชภารกิจในการทรงงานเพื่อความผาสุกของประชาชนของพระองค์นั้น มีความสำคัญยิ่งและมีมากมายเหลือคณานับ”
ในการเสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศต่างๆ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถได้ทอดพระเนตรเห็นความก้าวหน้าทางวิทยาการ ทั้งด้านการวิทยาศาสตร์ ด้านการทหาร ซึ่งในแต่ละครั้งเป็นการผสานความร่วมมือระหว่างกันในประเทศต่างๆ นับเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทยอย่างมหาศาล อย่างเช่น ในตอนที่เสด็จเยือนประเทศเดนมาร์ค ทั้งสองพระองค์ได้เสด็จพระราชดำเนินไปยังฟาร์มปศุสัตว์ และได้ทอดพระเนตรชมเครื่องทุ่นแรงทางการเกษตร และโคนมพันธุ์แท้ของเดนมาร์ค ต่อมากิจการฟาร์มโคนม ไทย-เดนมาร์ค จึงได้ถือกำเนิดขึ้นที่อำเภอมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรี
ในการเสด็จเยือนประเทศเยอรมัน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ได้ทอดพระเนตรการต่อเรือเร็ว เนื่องจากทรงเล็งเห็นว่า ในขณะนั้นประเทศไทยต้องการเรือเร็วขนาดเล็กที่มีความคล่องตัวสูงเป็นพิเศษ เพื่อใช้ลาดตระเวนชายฝั่ง รักษาความมั่นคงของประเทศ เมื่อทรงเสด็จกลับพระนคร จึงมีรับสั่งให้ต่อเรือเร็วรักษาชายฝั่งขึ้น จนเป็นผลสำเร็จในปีต่อมา คือ เรือ ต. 91 หลังจากนั้นก็ได้มีรับสั่งกรมอู่ทหารเรือ ให้ต่อเรือตรวจการใกล้ฝั่งและเรือรบที่ใช้ในราชการ ซึ่งเป็นเรือที่สั่งจากต่างประเทศ ดังนั้นการที่สามารถต่อเรือราชการได้เองเช่นนี้ นับเป็นความเจริญก้าวสำคัญของกองทัพเรือ
หลังจากนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงว่างเว้นจากการเสด็จฯ เยือนต่างประเทศเป็นเวลา 27 ปี จนกระทั่งเมื่อวันที่ 8 – 9 มีนาคม พ.ศ. 2537 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว พร้อมสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ภายหลังทรงเปิดสะพานมิตรภาพไทย-ลาวแห่งที่ 1 ร่วมกับ ฯพณฯ หนูฮัก พูมสะหวัน ประธานประเทศ สปป.ลาว และใน ได้เสด็จฯ ไปทอดพระเนตรกิจการโรงเรียนวัฒนธรรมเด็กกำพร้าแขวงเวียงจันทน์ หลัก 67 ด้วย ซึ่งเป็นการเสด็จพระราชดำเนินเยือนเมืองนอกอีกครั้ง หลังว่างเว้นมาเกือบ 30 ปี และนับเป็นการเสด็จประพาสต่างแดนครั้งสุดท้ายของพระองค์ มหาราชันผู้ทรงเปี่ยมด้วยไมตรีที่โลกไม่มีวันลืม
สำหรับประเทศลาวแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับลาวให้มีความแน่นแฟ้นตลอดรัชสมัย 70 ปีแห่งการครองราชย์ของพระองค์
พระองค์ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้แก่ชาวลาว โดยพระองค์ทรงจัดตั้งโครงการในพระราชดำริข้ามพรมแดนเข้ามาในลาวเกือบ 10 โครงการ โดยโครงการแรกเกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2535 คือ โครงการศูนย์พัฒนาและบริการด้านการเกษตรห้วยซอน-ห้วยซั้ว (หลัก 22 ) ที่บ้านนายาง เมืองนาซายทอง ห่างจากนครหลวงเวียงจันทน์ไปทางเหนือราว 22 กิโลเมตร เป็นศูนย์การเรียนรู้ตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง ให้กับประชาชนใน สปป.ลาว โดยแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ แปลงเกษตรสาธิต แปลงนาสาธิต และแปลงเลี้ยงสัตว์สาธิต โดยมีเขื่อนกักเก็บน้ำได้ประมาณ 2 ล้านลูกบาศก์เมตร ขณะนี้ได้ขยายโครงการตัวอย่างเพิ่มเติมในอีก 9 แขวงในพื้นที่ สปป. ลาว เช่น แขวงพงสาลี แขวงน้ำทา และแขวงหลวงพระบาง เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังเสด็จเปิดสะพานมิตรภาพไทย-ลาว 1 เมื่อเดือนเมษายน พ.ศ.2537 ซึ่งเป็นสะพานประวัติศาสตร์เปิดเส้นทางคมนาคมระหว่างสองประเทศ โดยเชื่อมเส้นทางระหว่างจังหวัดหนองคายของไทยกับนครหลวงเวียงจันทน์ สร้างความปลาบปลื้มปิติให้แก่ชาวลาวอย่างล้นพ้นต่อพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์เช่นกัน
มื่อเสร็จสิ้นจากการเสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศต่างๆ แล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดชได้ทรงต้อนรับพระราชอาคันตุกะ ที่เป็นประมุขของประเทศต่าง ๆ ที่เสด็จและเดินทางมาเยือนประเทศไทยเป็นการตอบแทน และหากประมุขหรือรัฐบาลของประเทศใดกราบบังคมทูลเชิญ ให้เสด็จฯ ไปเยี่ยมเยือน พระองค์จะทรงผ่อนผันไม่ให้เสียน้ำใจ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้พระราชโอรส หรือพระราชธิดา เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ เพื่อเจริญสัมพันธไมตรี ทอดพระเนตรวิทยาการ และศิลปวัฒนธรรมประเทศนั้น ๆ
ในการเสด็จพระราชดำเนินเยือนต่างประเทศ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานั้น มิได้เป็นเพียงเหตุผลเดียวเท่านั้นที่ทำทั่วโลกต่างยกย่องพระองค์ หากแต่พระราชกรณียกิจของพระองค์ในด้านต่างๆ ที่สร้างประโยชน์สุขแก่ประชาชนชาวไทยก็ขจรขจายไปทั่วทุกมุมโลก
พระปรีชาสามารถและพระอัจฉริยภาพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ปรากฏเป็นที่ประจักษ์แก่ชาวไทยและชาวโลก อันนำมาสู่การทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายรางวัลและเกียรติยศระดับนานาชาติมากมาย มากมายกว่าร้อยรางวัล อันเนื่องมาจากพระราชกรณียกิจและพระราชอัธยาศัยในการแสวงหาความรู้ของพระองค์ ที่สำคัญได้แก่
19 กรกฎาคม 2518 ประธานและสมาชิกรัฐสภายุโรปร่วมกันทูลเกล้าฯ ถวาย เหรียญรัฐสภายุโรป ณ กรุงบรัสเซลส์ ราชอาณาจักรเบลเยี่ยม
4 พฤศจิกายน 2535 เหรียญประกาศเกียรติคุณด้านสิ่งแวดล้อม ในฐานะทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจดีเด่นเป็นที่ยอมรับของนานประเทศ เกี่ยวกับการอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ของโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติกรุงไนโบรี สาธารณรัฐเคนยา
24 พฤศจิกายน 2535 ผู้อำนวยการใหญ่องค์การอนามัยโลก (WHO) นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิสทูลเกล้าฯ ถวาย เหรียญทองสาธารณสุขเพื่อมวลชน
26 มกราคม 2536 คณะกรรมการสมาคมนิเวศวิทยาเชิงเคมีสากล รับฟลอริดา สหรัฐอเมริกา ทูลเกล้าถวายฯ เหรียญสดุดีพระเกียรติคุณด้านการสงวนรักษาความหลากหลายทางชีวภาพ
12 ธันวาคม 2537 ผู้อำนวยการบริหารของยูเอ็นดีซีพี (UNDCP) แห่งสหประชาชาติ ทูลเกล้าถวายฯ เหรียญทองคำสดุดีพระเกียรติคุณด้านการป้องกันแก้ไขปัญหายาเสพติด
2 ธันวาคม 2538 องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ทูลเกล้าถวายฯ เหรียญสดุดีพระเกียรติคุณในด้านการพัฒนาการเกษตร (เหรียญแอกริโคลา)
26 พฤษภาคม 2549 สำนักงานโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ทูลเกล้าฯ ถวายฯ รางวัลความสำเร็จสูงสุดด้านการพัฒนามนุษย์ จากการที่พระองค์ทรงทุ่มเทพระวรกายและทรงพระวิริยะอุตสาหะในการปฏิบัติพระราชกรณียกิจน้อยใหญ่นานัปการ เพื่อยังประโยชน์และความเจริญอย่างยั่งยืนมาสู่ประชาชนชาวไทยทั้งประเทศมาโดยตลอด
พระบาสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช มิได้ทรงเป็นเพียงที่เคารพและเทิดทูนไว้เหนือเกล้าของปวงชนชาวไทยผู้เป็นพสกนิกรภายใต้ร่มโพธิสมภารของพระองค์เท่านั้น หากแต่ในสายตาของชาวต่างชาติ พระองค์ก็ยังทรงเป็นพระมหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ ซึ่งได้รับการยอมรับไปทั่วโลกด้วยเช่นกัน เห็นได้จากหลังการสวรรคตของพระองค์
ในการประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติ เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2559 ได้มีวาระพิเศษเพื่อแสดงความอาลัยและสดุดีแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดไม่บ่อยนัก
ในโอกาสนี้ นายบัน คี มูน เลขาธิการสหประชาชาติ และประธานกลุ่มภูมิภาคต่าง ๆ รวมถึงเอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรสหรัฐฯ ประจำสหประชาชาติ ได้กล่าวคำถวายสดุดีเพื่อแสดงความอาลัยแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ดังนี้
นายปีเตอร์ ทอมสัน ประธานสมัชชาสหประชาชาติ(ฟิจิ) “แสดงความเสียใจและอาลัยอย่างสุดซึ้งต่อพระบรมวงศานุวงศ์ รัฐบาล และปวงชนชาวไทย พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ครองราชย์ยาวนานที่สุดในโลก และได้รับการเคารพเทิดทูนอย่างที่สุด เนื่องจากพระมหากรุณาธิคุณในการพัฒนาความเป็นอยู่ให้กับพสกนิกร ตลอดการครองราชย์ 70 ปี ซึ่งสะท้อนถึงการยึดมั่นในพระราชปณิธานที่ว่าจะ “ทรงครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขของมหาชนชาวสยาม” อย่างแท้จริงในเวทีพหุภาคี นานาประเทศล้วนยอมรับพระราชกรณียกิจในการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศ”
นายบัน คี มูน เลขาธิการสหประชาชาติ “พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชว่า ทรงทุ่มเทปฏิบัติพระราชกรณียกิจด้วยพระวิริยะอุตสาหะเพื่อปรับปรุงชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน และนำพาประเทศให้ทันสมัย ทรงนำความมั่นคงและเสถียรภาพมาสู่ประเทศในช่วงที่บ้านเมืองเกิดวิกฤต ความเศร้าโศกของประชาชนทั้งประเทศเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่า พระองค์ทรงมีความสำคัญต่อประชาชนของพระองค์อย่างยิ่งใหญ่เพียงใด ความมุ่งมั่นของพระองค์ที่ทรงงานเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนและความพร้อมรับมือกับสถานการณ์ต่าง ๆ ทำให้ประเทศไทยเจริญรุ่งเรือง สหประชาชาติจะร่วมทำงานเป็นหุ้นส่วนกับรัฐบาลและประชาชนไทยต่อไป”
นายอับดัลเลาะห์ วาฟี เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไนเจอร์ประจำสหประชาชาติ ผู้แทนกลุ่มประเทศแอฟริกา ได้ย้ำถึงการที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงอุทิศพระองค์เพื่อประโยชน์และความสุขของประชาชน ทรงนำทางและเป็นศูนย์รวมจิตใจ สร้างความเจริญทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคมอย่างทึ่งของประเทศไทย ตลอดระยะเวลาครองราชย์ 70 ปี ทรงเป็นกษัตริย์นักพัฒนาที่ประจักษ์ได้จากโครงการที่ทรงริเริ่มกว่า 4,000 โครงการ และปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งสั่งสมจากประสบการณ์ด้านการพัฒนาที่ทรงดำเนินการมาตลอดพระชนม์ชีพ และเป็นแนวทางที่สามารถนำไปใช้เพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก”
นาง ซาแมนทา พาวเวอร์ เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรสหรัฐฯ ประจำสหประชาชาติ กล่าวว่า “พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงมีความผูกพันอย่างมากกับสหรัฐอเมริกา พระราชบิดาและพระราชมารดาของพระองค์ทรงพบกันที่เมืองเคมบริดจ์ รัฐแมตซาชูเสตส์ พระราชบิดาศึกษาด้านการแพทย์ ที่ฮาร์วาร์ด พระราชมารดาศึกษาที่วิทยาลัยพยาบาลซิมมอนส์ แม้ในหลวงรัชกาลที่ 9 เคยประทับในสหรัฐขณะยังทรงพระเยาว์เท่านั้น แต่ที่เคมบริดจ์ยังรู้สึกได้ถึงการดำรงอยู่ของพระองค์จนถึงปัจจุบัน
ในสายพระเนตรของพระมหากษัตริย์พระองค์นี้ การกระทำสิ่งอันเป็นประโยชน์ คือการแสวงหาหนทางแก้ปัญหาต่างๆที่กระทบต่อประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประชาชนกลุ่มเปราะบางและด้อยโอกาส และหนทางเดียวที่ จะทรงรู้ได้ว่าสิ่งใดมีประโยชน์ จะเข้าใจได้ถึงปัญหาที่ประชาชนประสบอยู่ คือการเสด็จพระราชดำเนินยังสถานที่นั้น โดยเฉพาะชนบทและพื้นที่ยากจน ทรงพบปะกับประชาชน ทั้งชาวไร่ชาวนา ชาวประมง นักเรียน ครู ตำรวจ เพื่อทรงรับทราบและแก้ไขปัญหาที่เกิดกับราษฎรของพระองค์
ทรงเป็นกษัตริย์ที่มีแนวพระราชดำริที่สร้างสรรค์และทรงพระปรีชาสามารถ ทรงจดทะเบียนสิ่งประดิษฐ์ที่เป็นทรัพย์สินทางปัญญาของพระองค์ 40 ฉบับ ส่วนใหญ่มาจากการคิดค้นและทรงทำขึ้นเพื่อแก้ปัญหาให้ราษฎรทั้งสิ้น
พระราชดำรัสของพระองค์สะท้อนวิถีการแสวงหาหนทางที่เป็นประโยชน์กับพสกนิกร ชีวิตแห่งการให้ และการบำเพ็ญประโยชน์ในทุกทุกวัน มิใช่เพื่อการแซ่ซ้อง และไม่หวังสิ่งใดตอบแทน แต่เป็นการทำเพื่อครอบครัว พระองค์ถือว่าทุกคนในประเทศเป็นครอบครัวของพระองค์ คนไทยโชคดีเหลือเกินที่มีในหลวงเป็นสมาชิกในครอบครัว และคนทั่วโลกโชคดีที่ได้เรียนรู้แนวทางการดำเนินชีวิตจากพระองค์”
จากพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ที่มีต่อปวงชนชาวไทย นับว่ายิ่งใหญ่นัก พระองค์ทรงเป็นพระประมุขที่นำพาประเทศไทยก้าวไปข้างหน้า เพื่อให้โลกหันมามองประเทศไทย ในแง่มุมที่มีเสน่ห์และความงดงามตามแบบฉบับของไทยเราเอง
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อปี พ.ศ. 2549 ในพระราชพิธีฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี ประเทศที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขจำนวน 25 ประเทศ จาก 29 ประเทศทั่วโลก ได้เข้าร่วมเป็นเกียรติในพระราชพิธีอันยิ่งใหญ่ นอกจากจะนับเป็นการชุมนุมของพระประมุขจากประเทศต่างๆ มากที่สุดในโลกแล้ว ยังเป็นการแสดงให้เห็นว่านานาประเทศทั่วโลกล้วนแล้วแต่ชื่นชมในพระบารมีอันแผ่ไพศาลของพระองค์ และจากบทความและข่าวต่างประเทศจำนวนมากมายที่ปรากฏสู่สาธารณชน ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันได้ว่า มิได้มีแต่ราษฎรของพระองค์เท่านั้น ที่ประจักษ์แจ้งในน้ำพระทัยอันหาที่สุดมิได้ของพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช
จากพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ที่มีต่อปวงชนชาวไทย นับว่ายิ่งใหญ่นัก พระองค์ทรงเป็นพระประมุขที่นำพาประเทศไทยก้าวไปข้างหน้า เพื่อให้โลกหันมามองประเทศไทย ดังพระราชดำรัสถวายพระพรของสุลต่านแห่งบรูไน ความว่า
“พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ไม่เคยทรงอยู่ห่างไกลจากประชาชน ทรงอยู่เคียงข้างพสกนิกรและทรงร่วมทุกข์ร่วมสุขกับประชาชนชาวไทยตลอดมา ทรงทำให้ประชาชนชาวไทยทุกคน มีความภาคภูมิใจอย่างสุดซึ้งในเอกลักษณ์และมรดกตกทอดทางวัฒนธรรม อีกทั้งยังได้ตระหนักด้วยว่าประเทศไทยนั้นเป็นผืนแผ่นดินที่เป็นของชาวไทยทุกคนอย่างแท้จริง ณ วันนี้ ประชาคมโลกต่างตระหนักถึงความสำเร็จทั้งหลายทั้งปวงของพระองค์ และมีความปลาบปลื้มปีติยินดีเป็นอย่างยิ่งที่องค์การสหประชาชาติได้ทูลเกล้าฯ ถวายรางวัลความสำเร็จสูงสุดด้านการพัฒนามนุษย์แด่พระองค์ และต่างรู้ซึ้งตระหนักได้ดีว่า เหตุใดประชาชนของพระองค์จึงได้พร้อมใจกันทูลเกล้าฯ ถวายพระราชสมัญญา “มหาราช”
พร้อมทั้งคำกล่าวสดุดีของมกุฎราชกุมารจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก แห่งราชอาณาจักรภูฏาน ความว่า “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงทำงานหนัก รักความยุติธรรม ทรงมีความพยายามมุ่งมั่นทำเพื่อประเทศของพระองค์ ควรเอาท่านเป็นแรงบันดาลใจ และดำเนินชีวิตตามแนวทางของพระองค์ท่าน ถ้าทำแบบนี้จะประสบความสำเร็จและมีความมั่งคั่ง
ข้าพเจ้าได้เห็นประชาชนชาวไทยแสดงความจงรักภักดี และเสียสละแก่พระมหากษัตริย์และประเทศของตน ข้าพเจ้าคิดว่าสิ่งนี้เป็นหัวใจสำคัญของประชาชนคนไทยในการป้องกันประเทศอีกด้วย”
- คัดลอกมาจาก บทความเรื่อง “เสด็จฯ เยี่ยมราษฎรทั่วประเทศ และเชื่อมสัมพันธไมตรีนานาประเทศ” ทวีศักดิ์ หวังรังสีสถิตย์และคณะ. (2559). สดุดีมหาราชา เทิดไท้องค์ราชัน. กรุงเทพฯ: เพชรกะรัต
- คัดลอกมาจาก บทความเรื่อง “รางวัลและพระเกียรติยศ” ภานุมาศ ทักษณา (บรรณาธิการ)และคณะ. (2554). (พิมพ์ครั้งที่ 4). รอยยิ้มของในหลวง. กรุงเทพฯ: สำนักข่าวเจ้าพระยา
- คัดลอกมาจาก บทความเรื่อง “สหประชาชาติถวายสดุดีในหลวง “ราชันผู้ยิ่งใหญ่”” เข้าถึงได้จาก http://www.komchadluek.net/news/foreign/247