พระอัจฉริยภาพหาที่เปรียบมิได้
หากศึกษาถึงพระราชกรณียกิจมากมายที่ครอบคลุมศาสตร์ในหลายลักษณะต่างสาขา แสดงถึงพระปรีชารอบด้าน สายพระเนตรอันยาวไกล คติธรรมและะหลักความเป็นเหตุเป็นผลในการทรงงาน ซึ่งก่อผลอเนกอนันต์ต่อประเทศชาติบ้านเมือง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ยังทรงส่งเสริมทำนุบำรุงในด้านศิลปวัฒนธรรม อันถือเป็นรากฐานสำคัญต่อความเจริญทางจิตใจของมนุษยชาติอีกด้วย
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เป็นพระมหากษัตริย์ที่ได้รับการยอมรับว่า ทรงเป็นเลิศในศิลปะหลากหลายแขนง และทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อวงการศิลปวัฒนธรรมไทยนานัปการ ทั้งยังทรงนำพระอัจฉริยภาพเหล่านี้ มาใช้ให้เป็นประโยชน์แก่ประชาชนและประเทศตลอดมา จนเป็นที่ประจักษ์ในพระปรีชาสามารถแก่พสกนิกรไทยและศิลปินทั่วโลก จึงได้รับการยกย่องสดุดี พระเกียรติคุณ การทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายพระราชสมัญญาว่า “อัครศิลปิน”
แม้ว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช จะทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจเพื่อราษฎรอย่างต่อเนื่องแล้ว แต่ในท่ามกลางการทรงงานหนักนั้น พระองค์ยังทรงมีน้ำพระราชหฤทัยต่อวงการศิลปะไทยอย่างต่อเนื่อง จึงเปรียบได้กับแสงส่องสว่างนำทางให้ศิลปินทั้งมวล
พระอัจฉริยภาพด้านดนตรี
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงได้รับการฝึกหัดดนตรีตั้งแต่พระชนมายุ 10 พรรษา ทรงนำพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ที่ทรงสะสมไว้ไปซื้อคลาริเนตมาทรงฝึกเป่า และทรงฝึกฝนทักษะดนตรีแบบสากลตามหลักดนตรี ศึกษานานกว่า 2 ปี จากนั้นจึงมุ่งไปที่ประเภทดนตรีซึ่งสนพระราชหฤทัยที่สุด คือ แจ๊ส พระองค์ทรงหาซื้อแผ่นเสียงของนักดนตรีชื่อดังในสมัยนั้นมากมาย ทั้งเพื่อทรงฟังในเข้าถึงแก่นแท้และสำหรับการเริ่มฝึกฝนด้วยพระองค์เอง และพระองค์ทรงโปรดดนตรีประเภท “ดิกซีแลนด์ แจ๊ส” เป็นอย่างมาก
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระปรีชาในด้านการทรงดนตรีเป็นพิเศษ เครื่องดนตรีที่ทรงโปรด คือ เครื่องเป่าทุกชนิด ตั้งแต่ตระกูลแซคโซโฟนทั้งหมด คลาริเน็ต ทรัมเป็ต และคอร์เน็ต นอกจากนี้ยังทรงกีตาร์ กลอง และเปียโนได้อีกด้วย
นอกจากนี้ยังทรงพระปรีชาสามารถในการประพันธ์เพลงบทเพลงพระราชนิพนธ์ โดยพระองค์ ทรงพระราชนิพนธ์เพลงด้วยพระองค์เองมาตั้งแต่ปีพ.ศ. 2489 ซึ่งเพลงที่ได้พระราชนิพนธ์ทำนองเพลง เป็นเพลงแรก คือ “แสงเทียน”
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระราชนิพนธ์เพลงได้ทุกแห่ง โดยไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องดนตรีช่วย จนถึงปัจจุบันมีเพลงพระราชนิพนธ์ทั้งสิ้น 48 เพลง อาทิ สายฝน ใกล้รุ่ง และยามเย็น เป็นต้น ซึ่งแต่ละเพลงแฝงด้วยคติต่างๆ ที่เกี่ยวพันกับชีวิตคนไทย ทั้งปลุกปลอบใจในยามบ้านเมืองไม่สงบสุข และเป็นขวัญกำลังใจมิให้เกิดความย่อท้อในการทำความดีต่อประเทศชาติ สังคม และต่อตนเอง
เมื่อปี พ.ศ. 2507 วงดุริยางค์ เอ็น คิว โทนคุนสเลอร์ (N.Q.Tonkunstler Orchestra) แห่งกรุงเวียนนา ได้คัดเลือกบทเพลงพระราชนิพนธ์ไปบรรเลง มีการถ่ายทอดสดไปทั่วประเทศออสเตรีย ปรากฏว่าได้รับความนิยมอย่างสูง จนกระทั่งสองวันต่อมา สถาบันการดนตรีและศิลปะแห่งกรุงเวียนนา โดยรัฐบาลออสเตรีย ได้ทูลเกล้าฯ ประกาศนียบัตร และสมาชิกกิตติมศักดิ์ ลำดับที่ 21 ของสถาบัน มีการจารึกพระนามลงบนแผ่นหินสลักของสถาบัน แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช นับเป็นผู้ประพันธ์เพลงชาวเอเชียคนแรกที่ได้รับเกียรติสูงสุดนี้
ในด้านดนตรีไทย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระราชประสงค์ที่จะอนุรักษ์ดนตรีไทย และนาฏยศิลป์ไทยไว้ให้คงอยู่คู่ชาติไทยตลอดไป โดยมีพระราชกระแสรับสั่งให้นักดนตรีไทยช่วยกันรักษาระดับเสียงของดนตรีไทยไว้เพื่อเป็นมาตรฐานของวงดนตรีรุ่นหลัง ได้พระราชทานทุนทรัพย์ส่วนพระองค์ให้ กรมศิลปากรจัดพิมพ์หนังสือ “โน้ตเพลงไทย เล่ม 1” เพื่อรวบรวมและรักษาศิลปะทางดนตรีไทยไว้ให้เป็นหลักฐานและมาตรฐานต่อไป
นอกจากนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดพิธีครอบประธานครูโขนละครและต่อ กระบวนรำเพลงหน้าพาทย์องค์พระพิราพ ซึ่งเป็นเพลงหน้าพาทย์ชั้นสูงในวิชาดนตรีและนาฏยศิลป์ไทยอีกด้วย
ซึ่งพิธีการดังกล่าว ดำเนินมาจนถึงจุดที่ใกล้จะสูญสิ้นแล้ว จึงนับได้ว่าพระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่อนุรักษ์ศิลปะของไทยเพื่อให้เป็นมรดกของชาติสืบต่อไปอย่างแท้จริง
พระอัจฉริยภาพด้านการถ่ายภาพ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงมีกล้องตัวแรกขณะพระชนมพรรษา 8 พรรษา ซึ่งได้รับพระราชทานจากพระราชชนนี และทรงเริ่มฝึกฝนถ่ายภาพด้วยพระองค์เอง
พระองค์ทรงเชี่ยวชาญการถ่ายภาพทั้งกล้องธรรมดาและกล้องถ่ายภาพยนตร์ ในระยะแรก ทรงถ่ายภาพด้วยกล้องที่ไม่มีเครื่องวัดแสงในตัวจึงต้องทรงคำนวณความเร็วของแสงด้วยพระองค์เอง จนสามารถวัดแสงได้อย่างแม่นยำ ทรงประดิษฐ์แผ่นกรองแสงขึ้นเอง ด้วยความรักในการถ่ายภาพ จึงทรงสร้างห้องมืดสำหรับล้าง อัด และขยายภาพเป็นการส่วนพระองค์ ทำให้ทรงเชี่ยวชาญในการล้างฟิล์มและอัดขยายทั้งภาพสีและภาพขาวดำ
ภาพถ่ายฝีพระหัตถ์พระองค์ มีลักษณะเฉพาะสูง ครบถ้วนด้วยองค์ประกอบภาพ มีความงามและมีเอกภาพ ซึ่งนอกจากจะเปี่ยมด้วยคุณค่าทางศิลปะระแล้ว ภาพฝีพระหัตถ์หลายภาพยังทรงแฝงด้วยปรัชญาความคิดอันล้ำลึก
อีกทั้งเมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมราษฎรในท้องถิ่นต่างๆ จะทรงถ่ายภาพด้วยพระองค์เองตามพระราชประสงค์ที่จะทรงใช้โดยเฉพาะในการพัฒนาประเทศ ภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ของพระองค์จึงมิได้แสดงคุณลักษณะแห่งศิลปะเพียงอย่างเดียว หากยังอำนวยประโยชน์อเนกอนันต์ต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน ดังจะเห็นได้จากเหตุการณ์ต่างๆ เช่น น้ำท่วม หรือการแก้ไขปัญหาจราจรต่างๆ พระองค์จะทรงบันทึกภาพเหล่านั้น เพื่อนำไปสู่การแก้ปัญหาต่อไป
พระอัจฉริยภาพด้านจิตรกรรม
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงเริ่มศึกษางานศิลปะ ด้านจิตกรรมด้วยพระองค์เองจากตำราศิลปะ และการเสด็จฯ ทอดพระเนตรหอศิลป์และพิพิธภัณฑ์ต่างๆ ตั้งแต่ครั้งประทับอยู่ที่ประเทศสวิสเซอร์แลนด์
พระองค์ทรงริเริ่มสร้างสรรค์งานจิตรกรรมอย่างจริงจัง ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2502 ทรงใช้เวลาว่างจาก พระราชภารกิจ โดยภาพวาดฝีพระหัตถ์ของพระองค์เป็นแบบภาพเหมือน โดยทรงศึกษาและเขียนจากต้นแบบจริง และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานภาพจิตรกรรมฝีพระหัตถ์เข้าร่วมแสดงในงานศิลปกรรมแห่งชาติครั้งที่ 14 เมื่อปี พ.ศ. 2506 เป็นการแสดงนิทรรศการภาพฝีพระหัตถ์ครั้งแรกของพระองค์
ต่อมาเมื่อพ.ศ. 2525 ได้ทรงพระกรุณาพระราชทานพระบรมราชานุญาต ให้เชิญภาพจิตรกรรม ฝีพระหัตถ์จำนวน 47 องค์ ไปจัดแสดง ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ และเมื่อปีพ.ศ. 2549 ทรงพระกรุณาพระราชทานพระบรมราชานุญาต ให้รัฐบาลเชิญผลงานจิตรกรรมฝีพระหัตถ์ไปจัดแสดง ณ ห้องพระอัจฉริยภาพในการจัดนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสฉลองสิริราชสมบัติ ครบ 60 ปี
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงได้รับการทูลเกล้าฯ ถวายปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาจิตรกรรม จากมหาวิทยาลัยศิลปากร เมื่อปี พ.ศ. 2508
พระอัจฉริยภาพด้านประติมากรรม
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงศึกษาค้นคว้าเทคนิควิธีการต่างๆ ในงานประติมากรรมด้วยพระองค์เอง ทั้งการปั้น การหล่อ และการทำแม่พิมพ์
งานประติมากรรมฝีพระหัตถ์ของพระองค์ เป็นประติมากรรมลอยตัว ที่เก็บรักษาไว้ในพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน คือ พระรูปปั้นดินน้ำมัน สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิตติ์ พระบรมราชินีนาถครึ่งพระองค์ สูง 12 นิ้ว ซึ่งต่อมาได้พระราชทานพระบรมราชานุญาตทำแม่พิมพ์หล่อเป็นปูนปลาสเตอร์ ในปี พ.ศ. 2508 ทรงโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้สร้างพระพุทธรูปปางประทานพร ภปร. เพื่อให้ประชาชนได้เช่าไว้สักการบูชา และทรงมีพระราชดำริแก่ช่างปั้นเกี่ยวกับพุทธลักษณะของพระพุทธรูปด้วยพระองค์เอง และภายหลังได้มีพระราชประสงค์ให้ช่างหล่อพระพุทธรูปเนื้อทองสัมฤทธิ์ปางมารวิชัยหน้าตักกว้าง 9 นิ้ว พระราชทานชื่อ “พระพุทธนวราชบพิตร” ด้วยพระราชประสงค์เพื่อประดิษฐานในจังหวัดต่างๆ ให้เป็นสิริมงคลและเป็นนิมิตรหมายแห่งความผูกพันระหว่างพระมหากษัตริย์และพสกนิกร
พระอัจฉริยภาพด้านวรรณศิลป์
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงสร้างสรรค์พระราชนิพนธ์ไว้หลายประเภท ทั้งบันทึกประจำวัน พระราชนิพนธืแปล พระราชนิพนธ์ร้อยแก้ว วรรณกรรมพุทธศาสนา และบทความอีกมากมาย
โดยเฉพาะพระราชนิพนธ์แปลนั้น ได้แสดงถึงพระอัจฉริยภาพของพระองค์อย่างชัดเจน ทั้งในการทรงเลือกเรื่อง ทรงใช้โวหารที่เข้าใจง่าย ทรงมิได้แปลคำต่อคำแต่ทรงเก็บโวหารไว้ครบถ้วน ด้วยสำนวนภาษาที่ให้ความรู้สึกแบบไทยๆ ซึ่งสอดคล้องกับสาระของเรื่อง
รายนามหนังสือที่ทรงพระราชนิพนธ์แปลและเรียบเรียง อาทิ “ติโต” จาก Tito ซึ่งเป็นชีวประวัติของนายพลติโต ประพันธ์ โดยฟิลลิส ออติ “นายอินทร์ผู้ปิดทองหลังพระ” จาก A Man called Intrepid ของวิลเลียม สตีเวนสัน และ “พระมหาชนก” ที่ทรงค้นเรื่องจากพระสุตตันตปิฎกขุททกนิกายชาดก เล่มที่ 4 ภาคที่ 2 และทรงแปลเป็นเป็นภาษาอังกฤษและภาษาไทยตั้งแต่ต้นเรื่อง
นอกจากนี้ ยังทรงพระราชนิพนธ์เรื่อง “ทองแดง” สุนัขทรงเลี้ยง โดยถ่ายทอดให้ประชาชนได้รับรู้เรื่องราวในความจงรักภักดี ความซื่อสัตย์ และความกตัญญูรู้คุณ
เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2529 คณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ ได้ทูลเกล้าฯ ถวายพระราชสมัญญานามว่า “อัครศิลปิน” แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ซึ่งมีความหมายว่า “ผู้มีศิลปะอันเลิศเลอ” หรือ “ผู้เป็นใหญ่ในศิลปิน”
พระอัจฉริยภาพด้านกีฬา
เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2510 เป็นอีกวันหนึ่งที่ปวงชนชาวไทยทั้งประเทศ ได้จดจำ พระอัจฉริยะภาพประการหนึ่งของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เมื่อพระองค์และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าอุบลรัตนราชกัญญา ทรงเป็นตัวแทนประเทศไทย เข้าร่วมแข่งขันเรือใบประเภทโอเค ซึ่งได้ใช้ “เรือใบซูเปอร์มด” ที่พระองค์ทรงออกแบบและต่อด้วยพระองค์เอง ในการแข่งขันกีฬาแหลมทองครั้งที่ 4 ซึ่งประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ และทรงชนะเลิศการแข่งขัน ได้รับการทูลเกล้าฯ ถวายรางวัลเหรียญทองจากสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิตติ์ พระบรมราชินีนาถ ณ สนามกีฬากรีฑาสถานสนามศุภ ชลาศัย ท่ามกลางความปลาบปลื้มปิติของพสกนิกรทั่วประเทศ และเป็นที่ประจักษ์แก่คนทั่วโลก
นอกจากเรือใบแล้ว พระองค์โปรดทรงกีฬาต่างๆ เป็นต้นว่า เรือใบ แบดมินตัน สเก็ต สกีน้ำ และว่ายน้ำ
ในวันที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2509 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ได้ทรงเรือใบ “เวคา” จากหน้าพระราชวังไกลกังวล อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ไปจนถึงอำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี เป็นระยะทางราว 60 ไมล์ทะเล โดยแล่นข้ามอ่าวไทยลำพังเพียงพระองค์เดียว ด้วยเวลาในการแล่นเรือใบ 17 ชั่วโมง พระองค์ทรงนำธง “ราชนาวิกโยธิน” ปักเหนือยอดก้อนหินใหญ่ที่ชายหาดอ่าวเตยงาม และทรงลงพระปรมาภิไธยบนแผ่นศิลาจารึก นับแต่นั้น ธงราชนาวิกโยธินก็ได้ โบกสะบัดประดุจการสรรเสริญพระอัจฉริยภาพด้านการทรงเรือใบของพระองค์ จวบจนถึงปัจจุบัน
พระอัจฉริยะภาพด้านการช่าง
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช มีฝีพระหัตถ์เป็นเยี่ยมในด้านการช่าง ทั้งช่างไม้ ช่างโลหะ และช่างกล ทั้งยังทรงมีพระปรีชาสามารถในด้านการออกแบบและต่อเรือใบอีกหลายประเภท โดยเรือใบลำแรกที่ทรงต่อด้วยพระองค์เอง เป็นเรือใบประเภทเอ็นเตอร์ไพรซ์ ชื่อ “เรือราชประแตน” และ “เรือเอจี” ในปี พ.ศ. 2507
ต่อมา ในปี พ.ศ. 2508 ทรงออกแบบและต่อเรือใบประเภทโอเค เช่น “นวฤกษ์” “เรือเวคา 1” “เรือเวคา 2” และ”เรือเวคา 3” และทรงออกแบบและต่อเรือใบประเภทม็อธ พร้อมกับพระราชทานนามเรือใบ สกุลใหม่นี้ว่า “เรือมด” “เรือซูเปอร์มด” และ “เรือไมโครมด” ในช่วงปี พ.ศ. 2509 – 2510 และได้ทรงจดทะเบียนระดับนานาชาติ ในประเภท Moth Class ที่ประเทศอังกฤษ
พระอัจฉริยะภาพด้านการประดิษฐ์
ด้วยความห่วงใบความทุกข์ยากของพสกนิกรในถิ่นทุรกันดาร ที่ต้องประสบปัญหาขาดแคลนน้ำดื่มน้ำใช้ และน้ำเพื่อทำเกษตรกรรม เนื่องจากความผันแปรความคลาดเคลื่อนของฤดูกาลธรรมชาติ จึงเกิดเป็น โครงการพระราชดำริฝนหลวง ที่ดำเนินการโดย ม.ร.ว.เทพฤทธิ์ เทวกุล ซึ่งค้นคว้าทดลอง และปฏิบัติการฝนเทียมจนสำเร็จในปี พ.ศ. 2512 จากนั้น สำนักฝนหลวงและการบินเกษตร จึงได้ปฏิบัติภารกิจบรรเทาภาวะฝนแล้ง ในฤดูเพาะปลูกและช่วยเหลือพื้นที่ขาดแคลนน้ำอย่างต่อเนื่องเสมอมา ก่อประโยชน์มหาศาลแก่อาณาประชาราษฎร์ พื้นที่แห้งแล้งก็กลับชุ่มชื่น น้ำในเขื่อนที่แห้งขอดเพิ่มปริมาณ แผ่นดินชื่นฉ่ำด้วยพืชพรรณอีกครั้ง ทั้งนี้ก็ด้วยพระปรีชาญาณของพระองค์แท้ ๆ
และจากปัญหามลพิษทางน้ำ ซึ่งทวีความรุนแรงขึ้นในหลายพื้นที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช ได้มีพระราชดำริให้มูลนิธิชัยพัฒนาดำเนินการวิจัยเพื่อพัฒนากังหันน้ำ ด้วยการเครื่องกลเติมอากาศ ซึ่งมีรูปแบบที่เรียบง่าย แต่มีประสิทธิภาพสูงในการบำบัดน้ำเสีย ที่รู้จักกันในชื่อ “กังหันน้ำชัยพัฒนา” เพื่อนำไปใช้ปรับปรุงคุณภาพน้ำตามสถานที่ต่างๆ ทั่วทุกภูมิภาค
โดยพระราชดำริให้เน้นประหยัดค่าใช้จ่าย สามารถผลิตได้เองในประเทศ ในรูปแบบ “ไทยทำไทยใช้” เพื่อแบ่งเบาภาระของรัฐบาลในการบำบัดน้ำเสียอีกทางหนึ่ง ทรงได้แนวทางจาก หลุก อุปกรณ์วิดน้ำเข้านาอันเป็นภูมิปัญญาพื้นบ้าน เป็นแรงบันดาลพระทัย จนในที่สุด กังหันน้ำชัยพัฒนา ได้เข้ามาช่วยบำบัดน้ำเสียในหลายพื้นที่ของประเทศ โดยเฉพาะย่านที่ต้องรับน้ำเสียจากโรงงานอุตสาหกรรม และเพิ่มออกซิเจนให้กับบ่อเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำทางการเกษตรอีกมากมาย
กังหันน้ำชัยพัฒนา ได้รับจดสิทธิบัตรจากกรมทรัพย์สินทางปัญญา เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2536 อันเป็นสิทธิบัตรในพระปรมาภิไธยของพระมหากษัตริย์พระองค์แรกของไทย และเป็นครั้งแรกของโลก และถือว่า วันที่ 2 กุมภาพันธ์ ของทุกปี เป็น วันนักประดิษฐ์ นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาทั้งยังได้รับรางวัลเหรียญทอง จาก The Belgian Chamber of Inventor องค์กรด้านวัฒนธรรมที่เก่าแก่ของเบลเยี่ยม ในงาน “Brussels Eureka 2000” ซึ่งเป็นงานแสดงสิ่งประดิษฐ์ใหม่ของโลกวิทยาศาสตร์ ณ กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยี่ยม
นอกจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช จะทรงมีพระอัจฉริยะภาพในหลากหลายด้าน ที่นำมาสู่การพัฒนาประเทศ ยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชนให้ดีขึ้นแล้ว ในด้านการศึกษาพระองค์ตระหนักดีว่าการศึกษาของเยาวชนเป็นพื้นฐานสำคัญที่จะช่วยพัฒนาชาติต่อไปในอนาคต ดังพระบรมราโชวาทที่ว่า “การศึกษาเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้าง และพัฒนาความรู้ ความคิด ความประพฤติ และคุณธรรมของบุคคล หากสังคมและบ้านเมืองใดให้การศึกษาที่ดีแก่เยาวชน ได้อย่างครบถ้วน ในทุกๆ ด้านแล้ว สังคมและบ้านเมืองนั้น ก็จะมีพลเมืองดีที่มีคุณภาพ สามารถดำรงรักษาความเจริญมั่นคงของประเทศชาติไว้ และพัฒนาก้าวหน้าต่อไปโดยตลอด” (พระบรมราโชวาทพระราชทานแก่ครูและนักเรียนที่ได้รับพระราชทานรางวัล 27 กรกฎาคม 2524)
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงริเริ่มโครงการต่างๆ มากมายที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา โดยเฉพาะ “การศึกษาพระราชทานผ่านดาวเทียม” เนื่องมาจากปัญหาการขาดแคลนครู ในท้องที่ชนบทห่างไกล อันเป็นเครื่องบั่นทอนความเจริญทางจิตใจ และการพัฒนาการของทรัพยากรมนุษย์ในอนาคต ซึ่งเป็นความมั่นคงของชาติ
เพื่อแก้ปัญหาและยกระดับคุณภาพการจัดการศึกษาของโรงเรียน ในปี พ.ศ.2538 กระทรวงศึกษาธิการ ได้จัดตั้ง “โครงการการศึกษาสายสามัญ ด้วยระบบทางไกลผ่านดาวเทียม” เฉลิมพระเกียรติปีกาญจนาภิเษกของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช และถวายเป็นพระราชกุสลแด่สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชนนี โดยใช้ “โรงเรียนวังไกลกังวล” อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เป็นแม่ข่ายถ่ายทอดการศึกษาสายสามัญ ด้วยระบบทางไกลผ่านดาวเทียม ที่เรียกกันว่า “ครูตู้” สอนตั้งแต่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1- 6
ในช่วงแรกกำหนดโรงเรียนเครือข่ายทั่วประเทศไว้ 99 โรงเรียน ในปีเดียวกัน นายขวัญแก้ว วัชโรทัย ประธานคณะกรรมการบริหารมูลนิธิการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียว เพื่อร่วมเฉลิมฉลองในมหามงคลวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี โดยพระองค์ได้พระราชทานพระราชทรัพย์ 50 ล้านบาท ที่องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยทูลเกล้าฯ ถวาย เป็นทุนประเดิม
นอกจากนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชได้เสด็จ พระราชทานความรู้แก่นักเรียนผ่านรายการ “ศึกษาทัศน์” ของมูลนิธิการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม โดยพระองค์เด็จฯ ครั้งแรกในวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ.2544 ที่โรงเรียนเทศบาลบ้านเขาเต่า ตำบลหนองแก อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
ตลอดระยะเวลา 70 ปี ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงครองสิริราชสมบัติ พระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่มีพระอัจฉริยภาพในด้านต่างๆ ทรงเชี่ยวชาญศิลปะหลายแขนง ทรงเชี่ยวชาญภาษาต่างประเทศหลายภาษา ทรงเครื่องดนตรีได้หลายชนิด ทรงพระราชนิพนธ์บทเพลงที่มีคุณค่ามากมายถึง 48 บทเพลง พระราชนิพนธ์หนังสือไว้ 14 เล่ม ทรงงานด้านศิลปะจิตรกรรม ภาพวาดกว่า 100 ภาพ ทั้งยังทรงพระปรีชาด้านกีฬา 8 ชนิดกีฬา และอื่นๆ อีกมากมาย รวมถึงในด้านการศึกษา พระองค์ทรงประกอบพระราชกรณียกิจด้านการศึกษาจนเป็นที่ประจักษ์ในพระปรีชาสามารถ จากพระบรมราโชวาทอันล้ำลึก และสายพระเนตรอันกว้างไกลในการพัฒนาคนนานัปการ ถือเป็นคุณประโยชน์อย่างใหญ่หลวงแก่การพัฒนาประเทศไทยตลอดมา
- คัดลอกมาจาก บทความเรื่อง “องค์อัครศิลปิน” ทวีศักดิ์ หวังรังสีสถิตย์และคณะ. (2559). สดุดีมหาราชา เทิดไท้องค์ราชัน. กรุงเทพฯ: เพชรกะรัต
- คัดลอกมาจาก บทความเรื่อง “อัครศิลปิน” เข้าถึงได้จาก http://www.xn--12co9drbac8a9as5aiidh8isei1npa.com/content/index.php?page=category&type=view&cat=56
- คัดลอกมาจาก บทความเรื่อง “พระผู้ทรงเป็นครูของแผ่นดิน” หนังสือพิมพ์มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 21 – 27 ตุลาคม 2559 (วันศุกร์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ.2559)