…พระเจ้าอยู่หัวของเรานั้น เมื่อแรกทรงศึกษาวิทยาศาสตร์ และเมื่อต้องทรงเป็นพระมหากษัตริย์องค์ที่ ๙ แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ จึงได้ทรงเปลี่ยนไปศึกษารัฐศาสตร์ แต่เพราะทรงเห็นว่าประชาชนคนไทย นั้นส่วนใหญ่เป็นเกษตรกร ต้องพึ่งน้ำและดิน เป็นปัจจัยสำคัญ พระเจ้าอยู่หัวจึงได้ทรงตั้ง พระราชหฤทัยศึกษา เรื่องน้ำและดินด้วยพระองค์เองอยู่ตลอดเวลา จึงทรงมีความรู้อย่างแตกฉาน และลึกซึ้ง ในเรื่องของน้ำและดิน ไม่น้อยกว่าผู้เชี่ยวชาญคนใด เพราะฉะนั้น เมื่อพระราชทานดำริเกี่ยวกับการแก้ปัญหาเรื่องน้ำและดิน ให้เจ้าหน้าที่รับไปพิจารณา จึงปรากฏว่าพระราชดำรินั้นส่วนใหญ่ถูกต้อง และเจ้าหน้าที่สามารถดำเนินการพัฒนาแหล่งน้ำและดิน เป็นประโยชน์มหาศาลแก่ประชาชนเป็นจำนวนมากทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ ดังที่ปรากฏอยู่ในขณะนี้
พูดถึงแผนที่ ผมก็อดมิได้ที่จะขอเขียนไว้ในที่นี้ว่า แผนที่นั้นพระเจ้าอยู่หัวทรงใช้ติดพระหัตถ์อยู่เป็นประจำ จนน่าจะถือว่าเป็นเครื่องราชกกุธภัณฑ์อีกอย่างหนึ่ง เครื่องราชกกุธภัณฑ์ คือ เครื่องหมายของความเป็นพระราชาธิบดี มีห้าอย่าง คือ พระมหาพิชัยมงกุฎ พระแสงขรรค์ชัยศรี ธารพระกร (คือ ไม้เท้าหรือไม้ถือ) วาลวิชนี (คือพัดกับแส้จามรี) และฉลองพระบาท
อนึ่ง แผนที่ที่มักจะเห็นทรงถืออยู่เป็นประจำนั้น ควรทราบว่าพระเจ้าอยู่หัวทรงตัดและต่อด้วยพระองค์เอง และเมื่อจะเสด็จฯ จังหวัดใดท้องที่ใด จะทรงพับให้ระวาง (คือส่วน หรือ ตอน) ของแผนที่ที่แสดงจังหวัดนั้นท้องที่นั้น ปรากฏอยู่บนด้านนอก เพื่อสะดวกแก่การที่จะทอดพระเนตร หรือทรงชี้เวลามีพระราชปฏิสันถารกับราษฎร และเมื่อมีพระราชประสงค์ ก็จะทรงใช้ดินสอหมายตำแหน่งบนแผนที่ไว้
เราจึงจะเห็นว่า บางครั้งเมื่อเสด็จฯ เป็นการส่วนพระองค์และทรงฉลองพระองค์ลำลอง ในพระกระเป๋าฉลองพระองค์มีดินสอที่เหลาแหลมแล้วเหน็บอยู่เป็นแถว และเพราะโปรดการทำอะไรด้วยพระองค์เองและด้วยพระหัตถ์ จึงมักจะทรงเหลาดินสอเองด้วย…
- *บทความนี้คัดลอกมาจากหนังสือ รอยพระยุคลบาท ซึ่งเป็นบันทึกความทรงจำของพลตำรวจเอก วสิษฐ เดชกุญชร ที่ได้ตามเสด็จพระราชดำเนิน เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับพระราชกรณียกิจที่ทรงปฏิบัติต่อเนื่องและสม่ำเสมอของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ (ที่มา : วสิษฐ เดชกุญชร, พล.ต.อ. รอยพระยุคลบาท. พิมพ์ครั้งที่ 5. กรุงเทพฯ : มติชน, 2549.)