“วิศิษฏศิลปิน” รวมศาสตร์และศิลป์เจ้าฟ้าหญิงไทย
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงมีพระอัจฉริยภาพอย่างสูงในด้านภาษา การดนตรี ทั้งในการบรรเลง การขับร้อง และการประพันธ์เนื้อร้อง ด้วยพระปรีชาสามารถเป็นที่ประจักษ์แก่สาธารณชนทั่วไป
ด้านภาษา
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงมีความรู้ทางด้านภาษาบาลี ภาษาสันสกฤต และภาษาเขมร ทรงสามารถรับสั่งเป็นภาษาอังกฤษ ภาษาฝรั่งเศส และภาษาจีน และทรงกำลังศึกษา ภาษาเยอรมัน และภาษาลาตินอีกด้วย พระองค์ทรงมีพระราชดำริว่า การเรียนรู้ภาษาให้ดีทั้งภาษาไทยและภาษาต่างประเทศ จะเป็นโอกาสให้สามารถค้นคว้าหาข้อมูลได้กว้างขวาง เป็นประโยชน์ในการสื่อสาร ถ่ายทอดเรื่องราวในภาษานั้น ๆ ได้ เกิดความเชี่ยวชาญในภาษา นำไปสู่ความเข้าใจวัฒนธรรมของแต่ละชาติแต่ละภาษา
ขณะที่ทรงพระเยาว์นั้น สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงสอนภาษาไทยแก่พระราชโอรสและพระราชธิดา โดยทรงอ่านวรรณคดีเรื่องต่างๆ พระราชทาน และทรงให้พระองค์ทรงคัดบทกลอนต่างๆ หลายตอน ทำให้พระองค์โปรดวิชาภาษาไทยตั้งแต่นั้นมา นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงสนพระทัยในภาษาอังกฤษและภาษาบาลีด้วย
เมื่อสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเข้าเรียนที่โรงเรียนจิตรลดานั้น ทรงได้รับการถ่ายทอดความรู้ทางด้านภาษาทั้งภาษาไทย ภาษาบาลี ภาษาเขมร ภาษาอังกฤษ และภาษาฝรั่งเศส โดยภาษาไทยนั้น พระองค์ทรงเชี่ยวชาญทั้งด้านหลักภาษา วรรณคดี และศิลปะไทย เมื่อทรงจบชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น พระองค์พอรู้แน่ว่าอย่างไรก็คงไม่ได้เรียนแผนกวิทยาศาสตร์ จึงพยายามหัดเรียนภาษาบาลี อ่านเขียนอักษรขอม เนื่องจากในสมัยนั้น ผู้ที่จะเรียนภาษาไทยให้กว้างขวาง ลึกซึ้ง จะต้องเรียนทั้งภาษาบาลี สันสกฤต และเขมร
ภาษาบาลีเป็นภาษาที่พระองค์สนพระทัยตั้งแต่ทรงพระเยาว์ แต่ได้เริ่มเรียนอย่างจริงจังในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย จนสามารถจำการแจกวิภัตติเบื้องต้นที่สำคัญได้ และเข้าพระทัยโครงสร้างและลักษณะทั่วไปของภาษาบาลีได้ นอกจากนี้ ยังทรงเลือกเรียนภาษาฝรั่งเศสแทนการเรียนเปียโน เนื่องจากมีพระราชประสงค์ที่จะอ่านหนังสือภาษาฝรั่งเศสที่มีอยู่ในตู้หนังสือมากกว่าการซ้อมเปียโน
เมื่อทรงเข้าศึกษา ที่คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยนั้น พระองค์ทรงเลือกเรียนสาขาประวัติศาสตร์เป็นวิชาเอก และวิชาภาษาไทย ภาษาบาลี และภาษาสันสกฤตเป็นวิชาโท ทำให้ทรงศึกษาวิชาภาษาไทยในระดับชั้นสูงและละเอียดลึกซึ้งยิ่งขึ้นทั้งด้านภาษาและวรรณคดี ส่วนภาษาบาลีและสันสกฤตนั้น ทรงศึกษาทั้งวิธีการแบบดั้งเดิมของไทย คือ แบบที่เรียนกันในพระอารามต่าง ๆ และแบบภาษาศาสตร์ซึ่งเป็นวิธีการตะวันตก ตั้งแต่ไวยากรณ์ขั้นพื้นฐานไปจนถึงขั้นสูง และเรียนตามวิธีการอินเดียโบราณเป็นพิเศษในระดับปริญญาโท
ซึ่งรัฐบาลอินเดียได้ส่งศาสตราจารย์ ดร.สัตยพรต ศาสตรี มาถวายพระอักษรภาษาสันสกฤต โดยวิทยานิพนธ์ในระดับปริญญาโทของพระองค์ เรื่อง ทศบารมีในพุทธศาสนาเถรวาท นั้น ยังได้รับการยกย่องจากมหามกุฏราชวิทยาลัยว่า เป็นวิทยานิพนธ์ที่แสดงถึงพระปรีชาสามารถ ในภาษาบาลีพุทธวจนะเป็นพิเศษ
พระปรีชาสามารถทางด้านภาษาของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี นั้น เป็นที่ประจักษ์ จึงได้รับการทูลเกล้าถวายปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ทางด้านภาษาจากมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ทั้งในและต่างประเทศ เช่น มหาวิทยาลัยรามคำแหง มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยมาลายา ประเทศมาเลเซีย มหาวิทยาลัยบักกิงแฮม สหราชอาณาจักร เป็นต้น
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทูลเกล้าฯ ถวายรางวัลพระเกี้ยวทองคำ เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2531 เนื่องจากพระองค์ทรงมีผลงานที่มีส่วนส่งเสริมความรู้และความภูมิใจในภาษาไทยเป็นที่ประจักษ์แก่ประชาชนทั่วไปอย่างเด่นชัด และผลงานนั้น ๆ มีลักษณะก่อให้เกิดความสนใจ และสร้างทัศนคติที่ดีต่อภาษาประจำชาติ
วันที่ 21 พฤศจิกายน 2559 ฯพณฯ นายฮามิด อันสารี รองประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐอินเดีย ได้ทูลเกล้าฯ ถวายรางวัล “วิศวสันสกฤต” ประจำปี 2558 แด่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี และเป็นรางวัลแรกของโลก เพื่อเฉลิมพระเกียรติที่ทรงมีคุณูปการต่อการเผยแพร่ภาษาสันสกฤตให้แพร่หลาย
และเมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2560 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ได้รับการทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายเครื่องอิสริยาภรณ์ปัทมภูษัณ ประจำปี 2560 ซึ่งรัฐบาลสาธารณรัฐอินเดีย ขอพระราชทานทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายในฐานะที่ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจในด้านวรรณกรรมและการศึกษา อันเป็นคุณประโยชน์อย่างยิ่งแก่ประเทศและประชาชน
พระราชนิพนธ์
ทางด้านพระราชนิพนธ์ วรรณกรรม สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงพระราชนิพนธ์ไว้มากมาย ทั้งที่เป็นร้อยแก้วและร้อยกรอง ภาษาไทยและภาษาต่างประเทศ มีทั้งสารคดีและงานวิชาการ รวมทั้งงานอื่นๆ ที่เป็นโครงการในพระราชดำริและโครงการเพื่อพัฒนาประเทศ
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงโปรดการอ่านหนังสือและการเขียนมาตั้งแต่ทรงพระเยาว์ พร้อมทั้งพระปรีชาสามารถทางด้านภาษาทั้งภาษาไทยและต่างประเทศ ร้อยแก้วและร้อยกรอง ดังนั้น พระองค์จึงทรงพระราชนิพนธ์หนังสือประเภทต่าง ๆ ออกมามากกว่า 140 เล่ม ซึ่งมีหลายหลากประเภท
สารคดีท่องเที่ยว เมื่อเสด็จพระราชดำเนินเยือนต่างประเทศ เช่น เบอร์ลินสิ้นกำแพง โรมันสัญจร แกะรอยโสม อนัมสยามมิตร ม่วนซื่นเมืองลาว
ประเภทวิชาการและประวัติศาสตร์ เช่น บันทึกเรื่องการปกครองของไทยสมัยอยุธยาและต้นรัตนโกสินทร์ กษัตริยานุสรณ์
หนังสือสำหรับเยาวชน เช่น แก้วจอมแก่น และแก้วจอมซน
หนังสือที่เกี่ยวข้องกับพระบรมวงศานุวงศ์ไทย เช่น สมเด็จแม่กับการศึกษา สมเด็จพระศรี นครินทราบรมราชชนนีกับพระราชกรณียกิจพระราชจริยาวัตรด้านการศึกษา
ประเภทพระราชนิพนธ์แปล เช่น หยกใสร่ายคำ ความคิดคำนึง เก็จแก้วประกายกวี
หนังสือทั่วไป เช่น ในร่มเงาวังสระปทุม บุหงารำไป เป็นต้น
พระราชนิพนธ์ของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี มีลักษณะการเขียนที่คล้ายคลึงกับพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กล่าวคือ ในพระราชนิพนธ์เรื่องต่าง ๆ นอกจากจะแสดงพระอารมณ์ขันแล้ว ยังทรงแสดงการวิพากษ์ วิจารณ์ในแง่ต่าง ๆ เป็นการแสดงความคิดเห็นส่วนพระองค์
นอกจากพระนาม “สิรินธร” แล้ว พระองค์ยังทรงใช้นามปากกาในการพระราชนิพนธ์หนังสืออีก 4 พระนาม ได้แก่
ก้อนหินก้อนกรวด เป็นพระนามแฝงที่ทรงหมายถึง พระองค์และพระสหาย สามารถแยกได้เป็น ก้อนหิน หมายถึง พระองค์เอง ส่วนก้อนกรวด หมายถึง กุณฑิกา ไกรฤกษ์ พระองค์มีรับสั่งถึงพระนามแฝงนี้ว่า “เราตัวโตเลยใช้ว่า ก้อนหิน หวานตัวเล็ก เลยใช้ว่า ก้อนกรวด รวมกันจึงเป็น ก้อนหิน – ก้อนกรวด” นามปากกานี้ ทรงใช้ครั้งเดียวตอนประพันธ์บทความ “เรื่องจากเมืองอิสราเอล” เมื่อปี พ.ศ. 2520
แว่นแก้ว เป็นชื่อที่พระองค์ทรงตั้งขึ้นเอง ซึ่งพระองค์มีรับสั่งถึงพระนามแฝงนี้ว่า “ชื่อแว่นแก้ว นี้ตั้งเอง เพราะตอนเด็ก ๆ ชื่อลูกแก้ว ตัวเองอยากชื่อแก้ว ทำไมถึงเปลี่ยนไปไม่รู้เหมือนกัน แล้วก็ชอบเพลงน้อยใจยา นางเอกชื่อ แว่นแก้ว” พระนามแฝง แว่นแก้วนี้ พระองค์เริ่มใช้เมื่อปี พ.ศ. 2521 เมื่อทรงพระราชนิพนธ์และทรงแปลเรื่องสำหรับเด็ก ได้แก่ แก้วจอมซน แก้วจอมแก่น และขบวนการนกกางเขน
หนูน้อย พระองค์มีรับสั่งถึงพระนามแฝงนี้ว่า “เรามีชื่อเล่นที่เรียกกันในครอบครัวว่า น้อย เลยใช้นามแฝงว่า หนูน้อย” โดยพระองค์ทรงใช้เพียงครั้งเดียวในบทความเรื่อง “ป๋องที่รัก” ตีพิมพ์ในหนังสือ 25 ปีจิตรลดา เมื่อปี พ.ศ. 2523
บันดาล พระองค์มีรับสั่งถึงพระนามแฝงนี้ว่า ใช้ว่า “บันดาลเพราะคำนี้ผุดขึ้นมาในสมอง เลยใช้เป็นนามแฝง ไม่มีเหตุผลอะไรในการใช้ชื่อนี้เลย” ซึ่งพระองค์ทรงใช้ในงานแปลภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทยที่ทรงทำให้สำนักเลขาธิการคณะกรรมการแห่งชาติ ว่าด้วยการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ กระทรวงศึกษาธิการ เมื่อปี พ.ศ. 2526
หนังสือพระราชนิพนธ์ในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงพระราชนิพนธ์ไว้มีทั้งหมด 146 เล่ม ระหว่างปี 2523 – 2551 อาทิ
- หนังสือชุดเสด็จพระราชดำเนินเยือนต่างประเทศ 54 เล่ม
- หนังสือพระราชนิพนธ์ทั่วไป 16 เล่ม
- หนังสือพระราชนิพนธ์บทกวี 9 เล่ม
- หนังสือพระราชนิพนธ์แปล 19 เล่ม
- หนังสือพระราชนิพนธ์วิชาการ 31 เล่ม
- หนังสือรวมพระราชนิพนธ์ 17 เล่ม
ตัวอย่างพระราชนิพนธ์ ในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี มีดังนี้
ย่ำแดนมังกร (2524) สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงบันทึกเรื่องราวการเสด็จฯ เยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนอย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรก ในระหว่างวันที่ 12-19 พฤษภาคม 2524 ในครั้งนี้ เสด็จฯ เยือนกรุงปักกิ่ง กำแพงเมืองจีน นครซีอาน มณฑลส่านซี นครเฉิงตู มณฑลเสฉวน นครคุนหมิง มณฑลยูนนาน และเสด็จฯ เยือนฮ่องกงด้วย พระองค์ทรงพระราชนิพนธ์ในตอนท้ายของพระราชนิพนธ์ว่า “บันทึกฉบับนี้เป็นการบันทึกเฉพาะสิ่งที่ข้าพเจ้า “ได้ยินด้วยหู รู้ด้วยตา” เท่านั้น” โดยหนังสือ ย่ำแดนมังกร มีการพิมพ์ซ้ำหลายครั้ง รวม 55,000 เล่ม
ทัวร์น้องโจ้ (2528) พระราชนิพนธ์บันทึกเหตุการณ์ประจำวัน ครั้งสมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีเสด็จเยือนประเทศออสเตรเลียเป็นเวลา 13 วัน ระหว่างวันที่ 17-19 ตุลาคม พ.ศ. 2529 พระองค์ได้เสด็จเยือนสถานที่ต่างๆ ทรงสังเกตสภาพความเป็นอยู่ การทำมาหากิน ภูมิประเทศ สัตว์ พืชพันธุ์ธัญญาหาร โบราณวัตถุและเทคโนโลยีสมัยใหม่
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงอธิบายที่มาของชื่อ “ทัวร์น้องโจ้” ไว้ในคำนำว่า “ที่ตั้งเช่นนั้นเป็นเพราะว่าเมื่อกลับจากออสเตรเลียใหม่ๆ ข้าพเจ้าเขียนลายให้ท่านผู้หญิงมณีรัตน์ บุนนาค เอาไปทำเสื้อยืดขายที่ร้านจิตรลดา เป็นรายได้โดยเสด็จพระราชกุศล มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพพิเศษ เป็นรูปข้าพเจ้าโผล่ออกมาจากกระเป๋าจิงโจ้ใต้ภาพเขียนว่า “ทัวร์ออสเตรเลียกับน้องโจ้พาเพลิน” อีกประการหนึ่งในเรื่อง มีกล่าวถึงข้าพเจ้าเล่นกับลูกจิงโจ้ของท่านข้าหลวงใหญ่ ข้าพเจ้าเรียกจิงโจ้ตัวนั้นว่า “น้องโจ้” ย่อมาจากจิงโจ้ซึ่งเป็นสัตว์ที่เป็นสัญลักษณ์ของประเทศออสเตรเลีย”
มุ่งไกลในรอยทราย (2533) พระราชนิพนธ์เนื่องในการเสด็จพระราชดำเนินเยือน สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยได้เสด็จพระราชดำเนินตามเส้นทางสายไหม ซึ่งเป็นเส้นทางการค้าระหว่างประเทศสมัยก่อนที่เชื่อมการติดต่อค้าขายระหว่างจีนกับแคว้นต่างๆ ในเอเชียและยุโรป เส้นทางสายไหมเป็นเส้นทางที่มี ความสำคัญยิ่งต่อเศรษฐกิจในสมัยโบราณ อีกทั้งยังเป็นเหตุให้จีนและแคว้นต่างๆ ทางตะวันตกของจีนได้แลกเปลี่ยนวัฒนธรรม แม้ว่าเส้นทางสายไหมจะเสื่อมไป ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 10 – 15 แต่โบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปะ หัตถกรรม ดนตรี และสิ่งต่างๆที่ชนหลายเผ่าสร้างสรรค์ ยังเป็นมรดกอันล้ำค่าของมนุษยชาติ ที่ควรศึกษาอย่างยิ่ง อีกทั้งยังเป็นมนต์เสน่ห์ดึงดูดให้นักท่องเที่ยว หลั่งไหลมาเยี่ยมชมอยู่เสมอ ซึ่งหนังสือเล่มนี้ เมื่อได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่ได้รับความนิยมและดึงดูดนักท่องเที่ยวไปเที่ยวได้เป็นจำนวนมาก
ไอรักคืออะไร? (2536) สมเด็จพระเทพรัตนราชสดุาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงพระราชนิพนธ์ไว้เมื่อครั้งเสด็จพระราชดำเนินเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนและสาธารณรัฐประชาชนมองโกเลีย สองดินแดนที่มีวัฒนธรรมขนบธรรมเนียมประเพณีที่น่าสนใจ และถือเป็นต้นกำเนิดหนึ่งของอารยธรรม ตะวันออกอันเก่าแก่ที่แพร่กระจายไปในหลายประเทศ ประกอบด้วยภาพถ่ายที่แสดงถึงลักษณะทางภูมิ ประเทศและสภาพทางธรรมชาติที่สวยงามแปลกตา ศิลปวัฒนธรรม และวิถีชีวิตที่มีเอกลักษณ์ เฉพาะตัวของชาวมองโกเลีย
รอยยิ้มหมีขาว (2536) เป็นพระราชนิพนธ์ที่ทรงบันทึกเมื่อเสด็จพระราชดำเนินเยือนสหพันธรัฐรัสเซีย ระหว่างวันที่ 13 – 24 มีนาคม 2536 เกี่ยวกับพระราชกรณียกิจและการเสด็จพระราชดำเนินสถานที่สำคัญต่างๆ และพบปะบุคคลสำคัญของรัสเซีย
แอนตาร์กติกา: หนาวหน้าร้อน (2536) บันทึกเมื่อครั้งเสด็จพระราชดำเนินเยือนทวีป แอนตาร์กติกา ประเทศนิวซีแลนด์หรือขั้วโลกใต้ ดินแดนแห่งความหนาว เย็นและทิวทัศน์อันงดงาม ระหว่างวันที่ 17 – 24 พฤศจิกายน 2536 ทรงทอดพระเนตรหน่วยงาน ต่างๆ ภายใน Scott Base พิพิธภัณฑ์ของศูนย์แอนตาร์กติการะหว่างประเทศ ถ้ำน้ำแข็ง Erebus Glacier Tongue เที่ยวชมนกเพนกวิน ฯลฯ ซึ่งทรงเล่าเหตการณ์ว่าเป็นการเดินทางที่ ต้องผจญภัยครั้งยิ่งใหญ่สู่ดินแดนที่มีความแตกต่างทางภูมิศาสตร์และภูมิอากาศจากประเทศไทยเป็นอย่างมาก
แดร๊กคูล่าผู้น่ารัก (2537) พระราชนิพนธ์ในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีทรงบันทึกไว้เมื่อครั้ง เสด็จฯ เยือน ประเทศในยุโรปตะวันออก ได้แก่ สาธารณรัฐโรมาเนีย สาธารณรัฐประชาชนฮังการี สาธารณรัฐออสเตรีย ราชอาณาจักรเบลเยี่ยม และสมาพันธรัฐสวิส ทั้งทรงเสด็จฯ ไปเฝ้าฯ สมเด็จพระราชินีฟาบิโอลา ที่ราชอาณาจักรเบลเยี่ยม ระหว่าง 13 -25 มีนาคม พ.ศ. 2537 ทรงเรียบเรียงตามลำดับ เหตุการณ์ที่มีเรื่องราววัฒนธรรมที่เก่าแก่สถาปัตยกรรมโบราณที่สวยงาม โดยมีภาพประกอบ พร้อมคำอธิบายภาพ และคำบรรยายเรื่องราวตามลำดับเหตุการณ์นั้น ๆ
เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2558 องค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลกทูลเกล้าฯ ถวายรางวัลความเป็นเลิศด้านการสร้างสรรค์ “WIPO Award for Creative Excellence” แด่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เทิดพระอัจฉริยภาพด้านการสร้างสรรค์ผลงานทรัพย์สินทางปัญญาเพื่อการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง อันได้แก่พระนิพนธ์ที่ทรงไว้มากมาย อาทิ ผลงานพระราชนิพนธ์ขณะเสด็จพระราชดำเนินเยือนต่างประเทศ เช่น คืนถิ่นจีนใหญ่ เล่าเรื่องเมืองฝรั่ง และแกะรอยโสม พระราชนิพนธ์สำหรับเยาวชน อาทิ แก้วจอมแก่น แก้วจอมซน พระราชนิพนธ์แปล อาทิ ขบวนการนกกางเขน ย่ำแดนมังกร ภาพวาดการ์ตูนฝีพระหัตถ์ รวมถึงสติกเกอร์ไลน์ชุด แชทได้บุญ แชร์ได้กุศล (Chat and Charity) เพลงพระราชนิพนธ์ อาทิ เพลงรัก เพลงส้มตำ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าภาคภูมิใจอย่างยิ่งสำหรับคนไทยและประเทศไทย
พระราชนิพนธ์ในสมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ไม่เพียงแสดงถึง พระอัจฉริยภาพด้านภาษาและวรรณกรรมในพระองค์เท่านั้น ยังแสดงให้เห็นว่า พระองค์ทรงเป็น นักการศึกษาที่สนพระทัยและแสวงหาความรู้ทุกแขนง ตลอดจนแสดงถึงพระปรีชาญาณอันกว้างไกลและลุ่มลึกอย่างประมาณมิได้
ด้านการดนตรี
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงคุ้นเคยกับเสียงดนตรีไทยมาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ นับวันเสด็จพระราชสมภพ ในการพระราชพิธีสมโภชต่างๆ เช่น เมื่อพระชันษาครบ 3 วัน หรือพระราชพิธีสมโภชเดือน ขึ้นพระอู่ ก็มีวงดนตรีไทยประโคมประกอบในพิธีทุกครั้งไป ตามโบราณราชประเพณี พระพี่เลี้ยงกล่อมพระบรรทมก็ร้องเพลงกล่อมเด็กหรือเพลงไทยง่าย ๆ ถวาย
ครั้นทรงเจริญพระชันษาได้โดยเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ไปในการพระราชพิธีต่างๆ หลายงาน มีวงดนตรี หรือแตร สังข์ บัณเฑาะว์ บรรเลงประกอบในพิธี สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเริ่มหัดดนตรีไทยขณะทรงศึกษาอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ทรงเลือกหัดซอด้วง ทรงเริ่มต่อเพลงพื้นฐาน เช่น เพลงฉิ่ง 3 ชั้น เพลงจระเข้หางยาว ตวงพระธาตุ นกขมิ้น เป็นต้น ต่อมาทรงเรียนพิเศษ และทรงเรียนร้องเพลงกับคุณหญิงไพฑูรย์ กิตติวรรณ
ณ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เมื่อสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเข้าศึกษาต่อที่คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทรงเข้าเป็นสมาชิกชมรมดนตรีไทย ทั้งของคณะอักษรศาสตร์ และชมรมดนตรีไทยสโมสรนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทรงซอด้วงเป็นหลัก และทรงหัดเล่น เครื่องดนตรีชนิดอื่นๆ ด้วย เช่น ซออู้ จะเข้ ขลุ่ย นอกจากนั้น ทรงเรียนร้องเพลงไทยกับอาจารย์เจริญใจ สุนทรวาทิน 26 มี.ค. 2548 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี โปรดระนาดมาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ แต่ทรงตัดสินพระทัยเรียนระนาดเอกกับครูสิริชัยชาญ ฟักจำรูญ อย่างจริงจังเมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ.2528 เมื่อเสด็จฯ ไปทรงดนตรีเป็นประจำที่บ้านปลายเนิน คลองเตย ซึ่งเป็นวังของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงฝึกหัดอย่างถูกแบบแผน ตั้งแต่การจับไม้ระนาดและท่าประทับ ขณะทรงระนาด ทรงปรารภว่า ตีระนาดนี้ เมื่อยพระองค์ ทรงเรียนตีระนาดตามแบบอย่างโบราณ เริ่มด้วยเพลงต้นเพลงฉิ่งสามชั้น แล้วจึงทรงต่อเพลงจระเข้หางยาว เพลงตวงพระธาตุ และเพลงอื่นๆ ทรงฝึกไล่ระนาดทุกเช้าในห้องพระบรรทม และทรงฝึกการตีระนาดแบบต่างๆ บุคคลภายนอกไม่มีผู้ใดทราบว่าทรงฝึกระนาดเอก จนถึงปี พ.ศ. 2529 มหาวิทยาลัยเชียงใหม่เป็นเจ้าภาพจัดงานดนตรีไทยอุดมศึกษา ครั้งที่ 17 ได้ทรงบรรเลงระนาดเอก ให้สาธารณชนได้ชมเป็นครั้งแรก เพลงที่ทรงบรรเลงคือเพลงนกขมิ้น (เถา) ร่วมกับครูอาวุโสของวงการดนตรีไทยหลายท่าน
นอกจากนั้น สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ยังได้เสด็จฯ ไปทรงเป็นประธาน ในงานมหกรรม มหาดุริยางค์ไทย (งานดนตรีไทยมัธยมศึกษา) และงานดนตรีไทยประถมศึกษา และทรงพระกรุณา ทรงดนตรีร่วมกับนักเรียนด้วย ต่อมาทรงพระราชนิพนธ์บทความ เรื่อง เด็กและดนตรีไทย ลงพิมพ์ในหนังสือที่ระลึกงานดนตรีไทยอุดมศึกษา ซึ่งมหาวิทยาลัยขอนแก่นเป็นเจ้าภาพ เมื่อ พ.ศ. 2530 ในบทพระราชนิพนธ์นี้ ได้พระราชทานข้อสังเกตเกี่ยวกับการสอนดนตรีไทยให้แก่เด็กๆ ทรงเสนอแนะ วิธีการสอนดนตรีไทยเด็กในแง่มุมต่างๆ ถึง 10 ประการ และทรงแสดงทัศนะเรื่อง การสอนดนตรีเด็กชั้นประถมศึกษาตอนต้น ไว้ในบทความ “เหตุใดข้าพเจ้าจึงชอบดนตรีไทย” ว่า การที่พระองค์ได้ยินเสียงดนตรีมาตั้งแต่ประสูตินั้น พระองค์ทรงตรัสว่าในระยะต้นๆ ก็ไม่ได้สนใจมากนัก ทรงมีความรู้สึกอยากเล่นเพียงนิดหน่อย แต่เมื่อได้เห็นและได้ฟังอย่างตั้งใจแล้วจึงได้รู้แจ้งว่าเพลงไทยนั้น มีความไพเราะและสนุก คนไทยจำนวนมากเห็นว่าเพลงไทยเป็นเพลงที่ฟังแล้วน่าเบื่อ หรือไม่รู้เรื่อง แต่พระองค์ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าถ้ามีความใส่ใจที่จะศึกษาจริงๆ แล้วจะเข้าถึงความไพเราะ สนุกสนาน ก่อนทรงเรียนดนตรีไทยพระองค์ยังไม่ทรงรู้จักเครื่องดนตรีไทยด้วยซ้ำไป เพียงแต่ทรงรู้จักทำนองเพลงไทยง่ายๆ ที่คุ้นหูเท่านั้นแต่ ปัจจุบันพระองค์เป็นผู้ที่ทรงรอบรู้ทั้งทางด้านวิชาการด้านดนตรี และทรงพระปรีชาสามารถในการบรรเลงเครื่องดนตรีไทยได้หลายชนิดรวมไปถึงการขับร้องและพระราชนิพนธ์บทร้องไว้หลายเพลงด้วย
ในฐานะที่ทรงเป็น ทูลกระหม่อมอาจารย์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ได้ทรงดนตรีไทยร่วมกับนักเรียนนายร้อย ชมรมดนตรีไทย โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า แพร่ภาพออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 ทุกวันที่ 23 ตุลาคม ซึ่งเป็นวันปิยมหาราช พร้อมทั้งทรงพระราชนิพนธ์บทเพลง เพื่อแสดงความรำลึก ถึงพระมหากรุณาธิคุณ และเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระผู้พระราชทานกำเนิดโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า ทรงดนตรีไทยร่วมกับคณะนักเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า
นอกจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จะทรงศึกษาดนตรีไทยแล้ว ยังทรงศึกษาดนตรีสากลด้วย พระอาจารย์คนแรก ที่ถวายการสอนดนตรีสากล คือ อาจารย์มาลัยวัลย์ บุณยะรัตเวช ถวายการสอนเปียโน ขณะมีพระชนมายุ 10 พรรษา สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงฝึกเครื่องดนตรีสากล ประเภทเครื่องเป่า จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จนสามารถทรงทรัมเปตโซโล นำวงดุริยางค์ ในงานคอนเสิร์ตสายใจไทย และทรงระนาดฝรั่ง นำวงดุริยางค์ ในงานกาชาดคอนเสิร์ต
“…ข้าพเจ้าเคยหัดเล่นดนตรีมาหลายอย่างตั้งแต่เด็กเริ่มจากเปียโน แล้วก็มาสนใจดนตรีไทย…นอกจากเรียนดนตรีไทยแล้ว ข้าพเจ้าหัดเล่นทรัมเปต บีแฟลตในวงแตรวง (สมัครเล่น) เล่นได้ทั้งเพลงไทยและเพลงสากล ซึ่งทำให้ข้าพเจ้าอ่านโน้ตสากลได้ดีขึ้น นอกจากนั้นยังชอบฟังเพลงโยธวาทิตมาตั้งแต่ยังเด็กๆ…”
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ได้รับการถวายพระราชสมัญญาว่า “องค์เอกอัครราชูปถัมภกมรดกวัฒนธรรมไทย” โดยในส่วนของดนตรีท่านก็ได้มีพระราชจริยาวัตรมากมายหลายประการ ซึ่งพอสรุปได้ดังต่อไปนี้
- ทรงวางพระองค์เป็นตัวอย่างแก่ประชาชนโดยเฉพาะเยาวชนไทย โดยทรงดนตรีไทย ขับร้อทรงวางพระองค์เป็นตัวอย่างแก่ประชาชนโดยเฉพาะเยาวชนไทย โดยทรงดนตรีไทย ขับร้องเพลงไทย และพระราชทานวโรกาสพิเศษ โดยเสด็จลงทรงดนตรีไทยร่วมกับประชาชนทุกเพศทุกวัยเสมอมา
- ทรงเป็นนักวิชาการดนตรี โดยทรงศึกษารายละเอียดต่างๆ ทั้งทางทฤษฎีและปฏิบัติ สามารถพระราชทานข้อวินิจฉัยข้อแนะนำและทรงปฏิบัติได้อย่างถ่องแท้
- ทรงอนุรักษ์ดนตรีไทย ทั้งในด้านการชำระโน้ตเพลง บันทึกเพลงเก่าและเผยแพร่งานเหล่านั้นอย่างต่อเนื่อง
- พระราชนิพนธ์บทความเกี่ยวกับดนตรีไทย ดนตรีต่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับไทย และเพลงไทยอย่างต่อเนื่อง
- ทรงส่งเสริมช่างผลิตเครื่องดนตรีไทย สนับสนุนให้ใช้เครื่องดนตรีไทยในการเรียนดนตรีของเยาวชน โดยไม่ต้องพึ่งเครื่องดนตรีต่างประเทศ
- ทรงส่งเสริมสถาบันต่างๆ ให้จัดรายการเผยแพร่วัฒนธรรมไทย เช่น การประชันปี่พาทย์ การทรงสักวา การแสดงนาฏศิลปะ โดยเสด็จพระราชดำเนินเป็นองค์ประธานและทรงร่วมในกิจกรรมดนตรีทั้งหลายอย่างใกล้ชิด
- ทรงสนับสนุนการเก็บรักษาและอนุรักษ์เครื่องดนตรีไทย และทรงเตรียมที่จะจัดตั้งพิพิธภัณฑ์เครื่องดนตรีไทยขึ้นในประเทศ
- ทรงดนตรีไทยให้ต่างชาติได้เห็นถึงระบบระเบียบแห่งวัฒนธรรมไทย ซึ่งเป็นสิ่งที่แสดงถึงความมีเอกราช และ ความมั่นคงของชาติ
ซึ่งครูเสรี หวังในธรรม ครูดนตรีอาวุโสกล่าวไว้ว่า “มีสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีพระองค์เดียว ยิ่งกว่ามีเทวดาหลายองค์มาโปรดวงการดนตรีไทย ดนตรีไทย ไม่สิ้น เพราะทูลกระหม่อมแก้ว เอาใจใส่”
การอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมไทย
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงสนพระทัยด้านศิลปวัฒนธรรมมาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ โดยเฉพาะทางด้านดนตรีไทย ซึ่งพระองค์ทรงสนับสนุนในการอนุรักษ์ สืบทอด และเผยแพร่ความรู้ด้านดนตรีไทยอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด โดยทรงเป็นแบบอย่างในการเสด็จทรงเครื่องดนตรีไทยร่วมกับประชาชนทั้งในและต่างประเทศ นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงอนุรักษ์ดนตรีไทยโดยการชำระโน้ตเพลง บันทึกเพลงเก่า และเผยแพร่งานเหล่านั้นอย่างต่อเนื่อง และส่งเสริมให้สถาบันการศึกษาต่างๆ จัดการเผยแพร่งานทางด้านดนตรีไทย
นอกจากด้านดนตรีไทยแล้ว สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ยังทรงพระราชนิพนธ์เพลงเป็นจำนวนมาก โดยบทเพลงที่ดังและนำมาขับร้องบ่อยครั้ง ได้แก่ เพลงส้มตำ รวมทั้ง ยังทรงนิพนธ์คำร้องในบทเพลงพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ได้แก่ เพลงรัก และ เพลงเมนูไข่
ยิ่งกว่านั้นพระองค์ยังประกอบพระราชกรณียกิจมากมายเพื่อการอนุรักษ์และพัฒนาศิลปวัฒนธรรมไทยทั้งในด้านการช่างไทย นาฏศิลป์ไทย งานพิพิธภัณฑ์ ประวัติศาสตร์และโบราณสถาน ภาษาและวรรณกรรมไทย และทรงเป็นประธานคณะกรรมการอำนวยการบูรณปฏิสังขรณ์วัดพระศรีรัตนศาสดารามวัดพระศรีรัตนศาสดาราม และพระบรมมหาราชวัง ตั้งแต่ปลายปี พ.ศ. 2523
พระองค์ได้รับการทูลเกล้าฯ ถวายพระสมัญญาว่า “เอกอัครราชูปถัมภกมรดกวัฒนธรรมไทย” เมื่อ พ.ศ. 2531 และ “วิศิษฏศิลปิน” เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2546 เพื่อเทิดพระเกียรติที่พระองค์ทรงพระปรีชาสามารถในศิลปะหลายสาขา รวมทั้ง ทรงมีคุณูปการต่อเหล่าศิลปินและศิลปวัฒนธรรมของชาติ
นอกจากนี้ อดีตนายกรัฐมนตรีพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ และคณะรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้มีมติให้วันที่ 2 เมษายน ซึ่งเป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพของพระองค์เป็น “วันอนุรักษ์มรดกของชาติ” ด้วยตระหนักในพระปรีชาสามารถทางด้านศิลปวัฒนธรรมของพระองค์ และเพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติที่พระองค์ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจในด้านการอนุรักษ์มรดกของชาติในสาขาต่างๆ เป็นจำนวนมาก
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงสนพระราชหฤทัยและทรงสนับสนุนการดนตรีไทย และนาฏศิลป์ไทยอีกเป็นอเนกประการ โดยเฉพาะทรงส่งเสริมเยาวชนไทยทุกระดับการศึกษา ให้พึงใจและสนใจดนตรีไทย อันเป็นวัฒนธรรมประจำชาติ พระองค์ทรงอนุรักษ์การดนตรีไทยให้มีรากฐานมั่นคงและพัฒนา โดยพระราชทานพระราชูปถัมภ์แก่ดนตรีไทยเป็นอันมาก พระเมตตาคุณ ที่ทรงส่งเสริมเยาวชนไทยให้ใฝ่ใจในการดนตรีไทย ทรงบำเพ็ญพระองค์เป็นแบบอย่างอันยอดเยี่ยม ที่ทรงสามารถโน้มน้าวเยาวชนไทยให้ชื่นชม ภาคภูมิใจดนตรีประจำชาติของตน
พร้อมนี้ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ได้พระราชทานพระราชูปถัมภ์อันหลากหลาย และประกอบพระราชกิจมากมายเพื่อช่วยอนุรักษ์พัฒนาศิลปวัฒนธรรมไทยให้เป็นสมบัติของชาติอย่างยั่งยืน ทั้งในเรื่องการช่างไทย ดนตรีไทย นาฏศิลป์ งานพิพิธภัณฑ์ โบราณสถานในภูมิภาคต่างๆ ตลอดจนเรื่องอาหารไทยและวิถีชีวิตไทยในด้านอื่นๆ เช่น ด้านสุขภาพอนามัย ด้านสังคมสงเคราะห์เด็กพิการและด้อยโอกาส ฯลฯ โดยเฉพาะทรงพระราชทานพระราชูปถัมภ์แก่เหล่าศิลปินน้อยใหญ่มากมาย ทั้งศิลปินแห่งชาติ ศิลปินพื้นบ้าน ศิลปินเพลงลูกทุ่ง ฯลฯ เช่น เสด็จฯไปเป็นประธานในงานด้านวัฒนธรรม เสด็จเยี่ยมเยือนและพระราชทานของแด่ศิลปิน เป็นต้น ซึ่งพระมหากรุณาธิคุณดังกล่าว ล้วนสร้างขวัญกำลังใจและก่อให้เกิดการตื่นตัวในวงการศิลปวัฒนธรรมอย่างกว้างขวาง สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ทรงเป็นปราชญ์ทางภาษา วรรณคดี ประวัติศาสตร์โบราณคดีและพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ อีกทั้งได้พระราชทานปัญญาความรู้ในหลากหลายเรื่องแก่วงวิชาการไว้อย่างมากมาย
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเอาพระทัยใส่ในงานด้านศิลปวัฒนธรรมของชาติเสมอมา โปรดพระราชทานแนวพระราชดำริในการอนุรักษ์ ฟื้นฟู และสืบทอดภารกิจในด้านต่าง ๆ อย่างมีระบบ ทั้งยังทรงแสดงพระอัจฉริยภาพด้านการอนุรักษ์และสืบทอดงานศิลปวัฒนธรรมอย่างเป็นรูปธรรม เช่น ทรงพระปรีชาสามารถในการทรงดนตรีทั้งดนตรีไทยและดนตรีสากล มีพระอัจฉริยภาพทางอักษรศาสตร์ และทรงพระราชนิพนธ์วรรณกรรมทั้งสารคดีและบันเทิงคดีที่ทรงคุณค่าด้านวรรณศิลป์ จนเป็นที่ประจักษ์แก่พสกนิกรชาวไทยและชาวต่างชาติโดยทั่วกัน
วิศิษฏศิลป์ “สิรินธร” อักษรศาสตร์ ประชาราษฎร์ชื่นชมสมสมัย
เป็นเจ้าฟ้านักปราชญ์ คู่ชาติไทย พระเกริกไกรทั่วทิศสถิตพระนาม
พระเป็นผู้ศึกษาวิชาศาสตร์ บำรุงชาติด้วยศึกษาอย่างเหมาะสม
การเรียนรู้เด็กไทยน้อมชื่นชม ด้วยโฉมฉมเจ้าฟ้ามหาจักรี
ทั้งภาษาประวัติศาสตร์ทรงปราดเปรื่อง ท่านลือเลื่องเกริกไกรชัยศักดิ์ศรี
ฝรั่งเศส จีน อังกฤษ และบาลี พระได้ซึ่งดุษฎีบัณฑิตมา
ทรงเชี่ยวชาญการดนตรีทั้งไทยเทศ เล่นทรัมเปต ฆ้องวง ทรงอุตส่าห์
อีกนิพนธ์ต่างๆ เกียรติกิตติญา ปวงประชาน้อมภักดิ์รักสดุดี
- คัดลอกมาจาก บทความเรื่อง “พระราชประวัติ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี” เข้าถึงจาก http://www.baanjomyut.com/library_2/extension-3/princess_maha_chakri_sirindhorn/03.html
- คัดลอกมาจาก บทความเรื่อง ” สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ด้านภาษา” เข้าถึงจาก https://sites.google.com/site/smderyrtuy/dan-phasa
- คัดลอกมาจาก บทความเรื่อง ” หนังสือพระราชนิพนธ์ในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี “ เข้าถึงจาก http://main.library.tu.ac.th/km/wp-content/uploads/2015/03/booklist1.pdf
- คัดลอกมาจาก บทความเรื่อง ” หนังสือพระราชนิพนธ์ในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี “ เข้าถึงจาก http://www.isd.coj.go.th/doc/data/isd/isd_1464053842.pdf
- คัดลอกมาจาก บทความเรื่อง ” สมเด็จพระเทพรัตน์ กับดนตรีไทย” เข้าถึงจาก http://sirindhornmusiclibrary.mahidol.ac.th/musiclibrary/princess2/index.php?ac=content&p=2&languages=th