สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ
สยามบรมราชกุมารี เทพธิดาในดวงใจไทยทั้งผอง
จุดเริ่มต้นในบรรณพิภพของสมเด็จพระเทพฯเกิดขึ้นนับตั้งแต่พระชนมายุได้เพียง 12 พรรษา โดยเริ่มงานพระราชนิพนธ์ต่างๆอย่างต่อเนื่อง ซึ่งต่อมาบทพระราชนิพนธ์เหล่านี้ ได้รับการตีพิมพ์แพร่หลายในหนังสือหลายเล่มต่อหลาย-เล่ม ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง อยุธยา, เจ้าครอกวัดโพธิ์, ศาสนาเกิดขึ้นได้อย่างไร, พุทธศาสนสุภาษิตคำโคลง ที่ทรงถอดมาจากภาษาบาลี รวมถึงหนังสือพระราช-นิพนธ์ซึ่งเป็นที่รู้จักและชื่นชมมายาวนานอย่าง กษัตริยานุสรณ์ ซึ่งทรงประพันธ์ขึ้นเพื่อทูลเกล้าฯถวายสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาในปี พ.ศ.2516 โดยในขณะนั้นพระองค์มีพระชนมายุเพียง 18 พรรษาเท่านั้น
ภาค 2 : เจ้าหญิงนักประพันธ์
ทั้งนี้ พระราชนิพนธ์บทกวีที่นำมาเสนอเป็นบางส่วนนี้เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่ง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงพระอัจฉริยภาพของพระองค์ได้อย่างชัดเจน
“รักชาติยอมสละแม้ ชีวี
รักเกียรติจงเจตน์พลี ชีพได้
รักราชมุ่งภักดี รองบาท
รักศาสน์ราญเศิกไส้ เพื่อเกื้อพระศาสนา”
นับตั้งแต่นั้นมา งานพระราชนิพนธ์อีกจำนวนนับร้อยเล่ม ต่างทยอยพิมพ์เผยแพร่อย่างต่อเนื่อง และได้รับการยกย่องในแง่ของการที่ทรงบรรยายภาพสถานที่และสถานการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างเห็นภาพ ด้วยภาษาที่รื่นไหลชวนอ่าน และแฝงไว้ซึ่งพระอารมณ์ขัน โดยไม่ขาดเนื้อหาสาระที่สำคัญๆเลยแม้แต่น้อยไม่ว่าจะเป็นพระราชนิพนธ์เชิงวิชาการ อย่างการใช้ระบบสนเทศภูมิศาสตร์เพื่อการพัฒนาพื้นที่เกษตร ในอำเภอพัฒนานิคมและชัยบาดาล จังหวัดลพบุรี, การพัฒนานวัตกรรมเสริมทักษะการเรียนการสอนภาษาไทย สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย พระราชนิพนธ์บทกวี เช่น กาลเวลาที่ผ่านเลย พระราชนิพนธ์แปลเรื่อง กำเนิดอนาคต งานพระราชนิพนธ์บันทึกการเสด็จพระราชดำเนินเยือนสถานที่ต่าง ๆ ทั่วโลก อาทิ มนต์รักทะเลใต้ (สิงคโปร์/ ปาปัวนิวกินี/ ราชอาณาจักรตองกา/ เกาะคุก/ หมู่เกาะฟิจิ/ หมู่เกาะโซโลมอน) มุ่งไกลในรอยทราย (จีน) ฯลฯ
ตัวอย่างที่ชัดเจนของพระราชนิพนธ์ที่ถึงพร้อมในคุณสมบัติเหล่านี้ คือ พระราชนิพนธ์เรื่อง แม่ ซึ่งมีเนื้อความตอนหนึ่งว่า
“…พอค่ำลงก็ขึ้นมารับประทานอาหาร ตอนอาหารนี้ ถ้าว่างพระราชกิจ สมเด็จแม่มักจะอยู่ด้วย ประการแรก ท่านจะได้ดูว่ารับประทานที่มีคุณค่าทางอาหารพอหรือไม่ ประการที่สอง ดูมารยาทโต๊ะ และประการที่สาม เป็นข้อที่พี่น้องทุกคนรวมทั้งพี่เลี้ยงชอบที่สุด คือ ท่านจะเลือกหนังสือดีๆสนุกๆมาเล่าให้ฟัง หนังสือที่ท่านเอามาเล่าบางทีก็เป็นนิทานธรรมดาๆ หรือนิทานเรื่องชาดกในพระพุทธศาสนา บางทีก็เป็นหนังสือประวัติศาสตร์ ประวัติบุคคลสำคัญ และความรู้รอบตัวอื่นๆ บางครั้งเป็นข่าวจากหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์”
ตอนหลังๆนี้ ท่านชอบอ่านเป็นภาษาอังกฤษให้เราหัดฟังภาษาด้วย นานๆทีก็อาจจะมีการถามปัญหาทวนความจำ ถ้าตอบถูกมักมีรางวัลเงินสด 1 บาท เป็นที่ขบขันกันในครอบครัวว่า “หนังสือธรรมดาๆ ที่น่าเบื่อที่สุดในโลก พอสมเด็จแม่เล่ามันสนุกตื่นเต้น มีรสมีชาติขึ้นมาทันที”
“ท่านจะเน้นระบายสี หยิบยกจับความที่น่าสนใจขึ้นมาเล่า (ทูลหม่อมพ่อยังโปรดฟัง) ทำให้จำง่ายไม่ต้องท่อง เรื่องนี้มีความลับอย่างหนึ่ง (ที่เปิดเผยได้แล้ว) ว่า บางทีข้าพเจ้าขี้เกียจอ่านหนังสือเพราะเรียนเยอะแยะ ก็อาศัยจำเอาจากที่สมเด็จแม่เล่า นำมาวิจารณ์เพิ่มเติม แล้วใช้ตอบข้อสอบ หรือเขียนรายงานส่งครูสบาย ๆ”
“เรื่องนิทานของสมเด็จแม่มีเรื่องที่น่าตื่นเต้น คือเรื่องผี แต่ก่อนนี้พี่เลี้ยงไม่ยอมเล่าเรื่องผี พอไปโรงเรียนเพื่อนๆก็มาหลอกสมเด็จแม่ท่านว่า ถ้ามานั่งอธิบายว่าผีไม่มีจริงก็ไม่เชื่อ ท่านจึงสำทับโดยการเล่าเรื่องผีที่น่ากลัวกว่าให้เข็ด…”
นอกจากนี้ก็มีบทกลอนที่พระราชนิพนธ์เอาไว้ขณะพระชนมายุ 10 พรรษา ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานทำนองในปี พ.ศ. 2537 จนกลายเป็นบทเพลงพระราชนิพนธ์ “รัก” ตามมาด้วยบทเพลงพระราชนิพนธ์ “ไทยดำเนินดอย” “เต่ากินผักบุ้ง” หรือ “จีนเด็ดดอกไม้ เถา” ที่พระราชนิพนธ์บทร้องสำหรับเพลงไทยเดิมเหล่านี้ได้อย่างไพเราะ
ไม่เพียงเท่านั้น พระปรีชาสามารถในการพระราชนิพนธ์บทกลอนนับตั้งแต่ครั้งยังทรงพระเยาว์ นอกจากจะได้รับการเผยแพร่ในหนังสือต่างๆแล้ว ยังมีการต่อยอดออกไปสู่งานศิลป์อีกแขนงหนึ่งด้วย นั่นคือ งานดนตรี อาทิ โคลงสี่สุภาพที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับอาหารที่ทำจากไข่ ซึ่งพระราชนิพนธ์เอาไว้เมื่อปี พ.ศ.2518 อีก 20ปีต่อมา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานทำนองเพลงจนออกมาเป็นเพลง “เมนูไข่”
อย่างไรก็ดี อาจกล่าวได้ว่า ไม่ว่าจะเป็นงานพระราชนิพนธ์ประเภทไหน รูปแบบใดก็ตาม ล้วนแล้วแต่ควรค่าแก่การอ่านทั้งเพื่อการศึกษาและการหาความบันเทิงทั้งสิ้น
- * คัดลอกมาจาก บทความเรื่อง “สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เทพธิดาในดวงใจไทยทั้งผอง” โดย พีรภัทร โพธิสารัตนะ นิตยสารซีเคร็ต ปีที่ 4, ฉบับที่ 90 (2555) : หน้า 21