ภาคพิเศษ : เรื่องเล่าต่อกันมา
ความรู้สึกของคนลาวต่อสมเด็จพระเทพฯ
ผมไปสอนหนังสือที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี…ในคลาสที่สอน มีนักเรียนทุนปริญญาโทจากมหาวิทยาลัย แห่งชาติลาวมาเรียนด้วย เป็นหญิงหนึ่งคนและชายหนึ่งคน…
การสอนวันนั้นไม่เน้นทางวิชาการ แต่เน้นวิชาคิด ตอนหนึ่งผมถามลูกศิษย์ชาวลาวว่า “รู้จักสมเด็จพระเทพรัตนฯหรือไม่” นักศึกษาลาวตอบว่า “รู้จักดีค่ะ” ผมถามต่อว่า “วิจารณ์หรือแสดงความรู้สึกต่อพระองค์ท่าน สักนิดสิครับ” นักศึกษาลาวตอบว่า “ท่านเป็นคนดีที่สุดในโลก” จากนั้นก็พูดต่อว่า“พระเทพฯ รักคนลาว เป็นห่วงคนลาว เข้าใจคนลาว ช่วยเหลือคนลาว ไม่เคยดูถูกคนลาว ท่านเป็นคนที่ดีมาก ๆ”
ผมถามนักศึกษาลาวต่อว่า “คนลาวรู้สึกอย่างไรต่อพระองค์ในภาพรวม” นักศึกษาพูดเสียงเครือๆ ว่า “คนลาวรักสมเด็จพระเทพฯ มาก ๆ มีบ้านพระเทพฯ อยู่ที่เขื่อนน้ำงึมด้วย เรารู้สึกว่าพระเทพฯ เป็นคนที่ดีที่สุด เป็นห่วงและทำให้เมืองลาวมาก ๆ… ฯลฯ” ผมพูดต่อไปว่า “มีอะไรจะพูดอีกไหมครับ” นักศึกษาลาวเงียบ และยกมือขึ้นปาดน้ำตา
* (เรียบเรียงและตัดทอนจากฟอร์เวิร์ดเมล โดยคุณยอดเยี่ยม เทพธรานนท์)
ให้พ่อเลี้ยงข้าวครู
เมื่อหลายปีก่อน (ประมาณสัก 13 ปี) มีนักธุรกิจคนหนึ่งที่ทำงานอยู่กับ คุณเจริญ – คุณหญิงวรรณา สิริวัฒนภักดี ไปหาอาตมา (พระราชวิจิตรปฏิภาณ) ที่วัดสุทัศน์ เมื่อพบกัน ท่านผู้นี้ก็แจ้งความประสงค์ ของการมาพบ และเล่าเรื่องที่เป็นจุดประสงค์ ดังนี้
เมื่อตอนเป็นครูสอนวิชาภูมิศาสตร์และวิชาประวัติศาสตร์ ปกติผมต้องไปค้นคว้าข้อมูลในหอสมุด แห่งชาติ ต่อมาก็มีนักเรียนหญิง คนหนึ่งผูกเปียสองข้าง เข้าไปค้นข้อมูลอย่างจริงจัง ว่างก็สนทนากันถึงเรื่องวิชาการ อยู่มาวันหนึ่ง นักเรียนหญิงคนนั้นก็ชวนผมไปเที่ยวบ้าน โดยบอกว่าจะให้พ่อเลี้ยงข้าวหนึ่งมื้อ ในฐานะ ที่ให้ความรู้ด้านวิชาการ โดยมีการนัดแนะกันที่พระราชวังดุสิต สวนจิตรลดา โดยเธอบอกว่า เมื่อเข้าประตูที่ 1 แล้วขอให้บอกคนที่เฝ้าประตูด้วยคำพูดนี้ (เป็นคำเฉพาะ…)
ครั้นถึงวันนัดหมาย ผมก็เดินทางไปโดยรถแท็กซี่ เมื่อเข้าประตู ผมก็มิได้สงสัย คงบอกเจ้าหน้าที่ ตามนั้น ครั้นถึงขั้นที่ 2 ผมก็บอกตามนั้นอีก เจ้าหน้าที่ก็อัธยาศัยดี ให้ความเคารพผมอย่างยิ่ง แต่พอถึงขั้นที่ 3 ผมก็เริ่มเห็นภาพที่ชัดเจนว่า แท้ที่จริงเด็กผู้หญิงคนนั้นคือ “สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี” ซึ่งตอนนั้นยังมิได้เฉลิมพระยศนี้ครับ พอผมนึกออก ผมก็เริ่มสั่นแล้ว
แต่เหตุที่ผมนึกไม่ออก เพราะผมไม่เคยคิดเลยว่า เจ้าฟ้าจะสนพระทัยในวิชาการอย่างจริงจัง เวลาค้นคว้า ก็ทรงสืบค้นด้วยพระองค์เองทุกอย่าง ทรงค้นคว้าและจดจำอย่างขมีขมัน โดยมิได้มีข้าราชการ บริพารเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับพระองค์ และเวลาที่ทรงสนทนาก็ให้ความนับถือคู่สนทนา ยิ่งรู้ว่าผมเป็นครูสอนวิชาดังกล่าว
เมื่อผมรู้ว่านักเรียนหญิงคนนั้นคือสมเด็จพระเทพฯ ผมก็ประหม่า สักครู่พระองค์ก็เสด็จออกมา แล้วตรัสปฏิสันถาร ถึงตอนนี้ผมก็ก้มลงกราบกับพื้นและที่ทำให้ผมสั่นยิ่งขึ้นก็คือ ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าคุณพ่อของเด็กผู้หญิงคนนี้คือ “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว”
สักครู่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็เสด็จฯ ออกมา ทรงมีพระพักตร์ที่ยิ้มแย้มแล้วตรัสว่า “เห็นลูกสาว บอกว่าเป็นเพื่อนกัน” เมื่อพระองค์ตรัสอย่างนี้ ผมก็ก้มลงกราบด้วยความประหม่าที่สุด แล้วกราบบังคมทูลว่า “มิเป็นการบังอาจ พระพุทธเจ้าข้า” พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระมหากรุณาธิคุณตรัสว่า “ขอให้ทำตัวตามปกติ ไม่ประหม่าหรือกลัวแต่อย่างใด พระองค์ตรัสขอบใจที่ได้เป็นเพื่อนสนทนาวิชาการดังกล่าว”
จากนั้นพระองค์ก็ตรัสว่า “อันที่จริงก็มีผู้อยากขอเข้าเฝ้าฯ เป็นจำนวนมาก บางรายก็ขอนำเงิน ขึ้นทูลเกล้าฯถวาย แต่เราก็ไม่สามารถจะรับเงินของบางคนได้ เราจะรับเงินของเขาได้อย่างไร ในเมื่อเงินที่เขา นำมาถวายเรานั้น เป็นเงินที่เกิดจากการขายแผ่นดินของเรา เราจึงรับเงินนั้นไม่ได้ ถ้าจะถามพระราชา อย่างเราว่า พระราชาอย่างเรานั้น ต้องการอะไร เราก็ขอตอบว่า พระราชาอย่างเราต้องการคนซื่อสัตย์ เพราะ คนที่ซื่อสัตย์ คือสมบัติของพระราชาอย่างเรา”
ผมก้มลงกราบถวายบังคมพระองค์อีกครั้ง ด้วยความซาบซึ้งน้ำตาไหลในพระมหากรุณาธิคุณ ที่พระราชทานพระบรมราชวโรกาส ให้แก่ครูสอนหนังสือเล็กๆ คนหนึ่ง พระราชดำรัสของพระองค์มีคุณค่ายิ่ง ต่อชีวิตของผ จากนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็พระราชทานเลี้ยงก๋วยเตี๋ยว เป็นอาหารที่ผมรับประทาน แล้วอิ่มตลอดชีวิต
- (ตัดทอนจากบทความเรื่อง “คนซื่อสัตย์คือสมบัติของพระราชา” โดยพระราชวิจิตรฏิภาณ วัดสุทัศน์ฯ ที่มาหนังสือพิมพ์สยามรัฐ ฉบับวันศุกร์ที่ 5 ธันวาคม 2551)